วันนี้ (2 กันยายน) พ.ต.อ. กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าเพิ่มเติม กรณีตำรวจสันติบาลหญิงทำร้ายร่างกายทหารหญิงได้รับบาดเจ็บ ว่าในส่วนของการดำเนินคดีอาญา สถานีตำรวจภูธร (สภ.) เมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี วันนี้ พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอเบิกตัวผู้ต้องหาไปทำการตรวจจิตเวชเพื่อนำผลการตรวจมาประกอบสำนวนคดี และพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำพยานไปแล้วหลายปาก อยู่ระหว่างรอผลตรวจและทำการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนของกฎหมาย
ในส่วนการดำเนินคดีของ สภ.ชะอำ จ.เพชรบุรี (หนึ่งในพื้นที่ที่มีหลักฐานว่าเกิดการทำร้ายร่างกาย) พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างดำเนินการสอบปากคำผู้ต้องหาที่เรือนจำราชบุรีเพิ่มเติม และสอบปากคำผู้เสียหายเพิ่มเติม รวมถึงได้ทำการเก็บตัวอย่างส่งตรวจเปรียบเทียบทางนิติวิทยาศาสตร์ และทำการสอบปากคำพยานประกอบคดีไปแล้วหลายปาก โดยอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนกฎหมาย
โดย พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับการปฏิบัติของเจ้าที่ตำรวจ ที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยให้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานและสอบสวนอย่างตรงไปตรงไปมา ทั้งในส่วนของการดำเนินการทางวินัยและการดำเนินการในทางคดีอาญา ด้วยความรอบครอบ รวดเร็ว อาศัยพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นสำคัญ ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน อีกทั้งเพื่อป้องกันสังคมเกิดความสับสนและเสียรูปคดี จึงขอความร่วมมือติดตามข่าวสารจากทางราชการเท่านั้น
พ.ต.อ. กฤษณะกล่าวต่อไปว่า ในส่วนของการดำเนินการทางวินัยหลังจากที่กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง และมีคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจรายดังกล่าวออกจากราชการไว้ก่อนไปแล้วนั้น คณะกรรมการฯ ก็จะดำเนินการภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนด อีกทั้งได้ส่งเรื่องไปยังกองวินัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงในส่วนของประเด็นเรื่องการบรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการของข้าราชการตำรวจรายดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ระหว่างดำเนินการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง
พ.ต.อ. กฤษณะกล่าวด้วยว่า ได้ดำเนินการตามมาตรฐานเดียวกันทั้งในส่วนการดำเนินคดีทางอาญาและการดำเนินการทางวินัย โดยได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ภายใต้กรอบระยะเวลาที่กำหนดและกฎหมายที่ได้ให้อำนาจไว้ และให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่มีใครมีอภิสิทธิ์เหนือใคร และกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องการกระทำผิดส่วนตัวไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดภาพรวมทั้งหมดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ