วันนี้ (26 สิงหาคม) ที่ห้องเทวกรรมรังรักษ์ สโมสรทหารบก ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวปาฐกถานำในงานสัมมนานำเสนอยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาการเมือง โดยชัชชาติกล่าวในหัวข้อ ‘จากเล็กสู่ใหญ่: มองการเมืองและประเทศไทยแบบ 360 องศา’
ชัชชาติกล่าวว่า ตนเปิดตัวลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2562 ที่ชุมชนโรงหมู เขตคลองเตย ด้วยจำนวนสมาชิกเพียง 5 คน และโชคดีที่ตนเป็นผู้สมัครอิสระ คนจึงมาร่วมเยอะขึ้น สิ่งนี้ไม่ใช่การเมือง แต่เป็นงานเมือง ตนมองหาเพื่อนร่วมทีมที่เข้มแข็งมาเสมอ จนสุดท้ายมีทีมงานเพื่อนชัชชาติกว่า 13,000 คน รวมถึงมีเครือข่ายอื่นๆ อีกกว่า 5,000 คน
สำหรับการเมืองท้องถิ่นไม่จำเป็นต้องมีพรรค เป็นอิสระจะทำงานได้ง่ายกว่า และสโลแกน ‘ทำงาน ทำงาน ทำงาน’ มันกินใจคนกรุงเทพฯ เพราะคนกรุงเทพฯ ต้องทำมาหากิน นั่นเป็นสภาวะของเมือง รวมถึงมีการหาเสียงแบบสร้างสรรค์เพื่อให้เข้าถึงทุกกลุ่มวัย ลดการตัดสินด้วยรูปลักษณ์ หรือ Personality Judgement ด้วยการทำการ์ตูน ซึ่งจะทำให้สื่อสารได้ง่ายขึ้น ดังนั้นอย่าลืมความสำคัญของการสื่อสาร
ชัชชาติกล่าวต่อไปว่า ยุทธศาสตร์ที่ดีคือต้องมีการทำโซเชียลมีเดียทุกอย่าง หากอยากสื่อสารทุกกลุ่มต้องมีทุกช่องทาง อย่าง Facebook คือคนอายุเยอะ ส่วน Twitter คือเด็กรุ่นใหม่ หรือเด็กจบใหม่ และ TikTok ที่สามารถเจาะกลุ่มเด็ก 8 ขวบ สุดท้ายเด็กๆ ไปบอกพ่อแม่ให้ลงคะแนนเสียงให้ตนด้วย
เป็นความโชคดีที่ตนมีโอกาสมีคนรุ่นใหม่มาช่วยคิดสร้างสรรค์ เช่น เพลงหาเสียงแบบใหม่ด้วยเพลง ‘ชัช-ชัช-ชาติ’ และใช้เพลงแรปที่กล่าวถึงนโยบาย 200 กว่าข้อ ซึ่งสามารถเข้าถึงเด็กรุ่นใหม่ นอกจากนี้มีการทำ Social Listening จึงต้องปรับและใช้โซเชียลมีเดียเป็นหลัก ดังนั้นจุดเริ่มต้นสำคัญไม่แพ้โค้งสุดท้าย
สิ่งแรกเริ่มในการกำหนดยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ มี 3 ขั้นตอนคือ
- Diagnosis การวิเคราะห์ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร
- A Guiding Policy การมีภาพนโยบายรวมๆ
- A Set of Coherent Actions คือต้องมี Action Plan หรือการวางแผนการปฏิบัติงาน
หลายครั้งที่มียุทธศาสตร์ แต่ไม่มี Action Plan มันก็เป็นคำขวัญ แต่ถ้าคุณมียุทธศาสตร์ เช่น อยากจะไปเรียนต่อ หรืออยากไปทำงาน คุณต้องมีหลายๆ Action Plan
ชัชชาติกล่าวต่ออีกว่า คำว่า CEO คือคนกำหนดยุทธศาสตร์ Manager คือคนกำหนดกลยุทธ์ ในตอนที่ไม่รู้จะทำอะไร CEO ต้องมากำหนด แต่พอกำหนดว่าจะทำอะไรแล้ว Manager ต้องเอาไปทำ เช่น วางยุทธศาสตร์ทำให้กรุงเทพฯ รถไม่ติด และมีกลยุทธ์โดยการติดตั้งระบบ ITMS ต้องให้ Manager ไปคิดต่อว่าจะติดตั้งระบบนั้นอย่างไร
กรุงเทพฯ เหมือนร่างกายคน มีเส้นเลือดใหญ่และเส้นเลือดฝอย แต่ที่ผ่านมาเราอาจจะชอบลงทุนกับเส้นเลือดใหญ่ แต่พอเป็นเส้นเลือดฝอยเข้าชุมชนเราอ่อนแอ ยิ่งเส้นเลือดฝอยตีบยิ่งทำงานไม่ได้ เช่น ศูนย์สุขภาพชุมชน ที่เจ้าหน้าที่มีเพียง 80 คน แต่ต้องดูแลคนในชุมชนกว่า 100,000 คน ซึ่งไม่เพียงพอ
“อย่างเช่น รถไฟฟ้าเรามีทุกสี แต่เส้นเลือดฝอยเปราะบาง ทางเดินเขาเดินไม่ได้ มันคือระบบที่ใหญ่ดี เล็กไม่ดี แม้กระทั่งการจัดการขยะ แม้จะมีเตาเผาราคาหมื่นล้าน แต่หน้าบ้านก็ยังมีขยะอุดตัน ส่วนอุโมงค์ยักษ์ที่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญ อย่าละเลยสิ่งเล็กๆ เช่น ท่อระบายน้ำ” ชัชชาติกล่าว
ชัชชาติกล่าวอีกว่า จากผลการสำรวจความเห็นที่พบว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าเที่ยวอันดับ 1 แต่เป็นเมืองน่าอยู่อันดับ 98 จาก 144 เมือง ดังนั้นหากทำเมืองให้น่าอยู่ นักท่องเที่ยวจะอยากไปเที่ยวเอง และนักท่องเที่ยวอาจจะมีคุณภาพ ดังนั้นจึงมีกรอบนโยบาย ‘9ดี’ คือ บริหารจัดการดี สุขภาพดี สร้างสรรค์ดี สิ่งแวดล้อมดี ปลอดภัยดี โครงสร้างดี เศรษฐกิจดี เดินทางดี เรียนดี และพัฒนามาเป็น 216 แผน
“สมัยก่อนพนักงานราชการทำงานเป็นท่อ ส่งต่อปัญหาจากประชาชนมาที่ผู้ว่าฯ และไปสู่พนักงานอื่นๆ แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นแพลตฟอร์ม ใช้แอปพลิเคชัน Traffy Fondue ประชาชนทุกคนมีปัญหาก็โยนเข้ามาในแพลตฟอร์ม ไม่มีเส้นสาย เพราะทุกคนคือดิจิทัล โดยวันแรกมีคนแจ้งเข้ามา 20,000 เรื่อง แต่เมื่อผ่านมา 6 สัปดาห์ ได้รับแจ้ง 106,592 เรื่อง และแก้ไขไปแล้ว 49,268 เรื่อง โดยปัญหา 5 อันดับแรกที่พบคือ ถนน ทางเท้า แสงสว่าง น้ำท่วม และขยะ” ชัชชาติกล่าว
ชัชชาติกล่าวต่อไปว่า สำหรับหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ใช่แค่จัดเลือกตั้ง แต่ยังต้องสร้างความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย และสร้างความโปร่งใสให้กับคนได้ ถ้าหากเด็กรุ่นใหม่ไม่ได้รู้สึกว่านักการเมืองน่ารังเกียจ นั่นคือการสร้างระบบจากฐานรากว่าประชาธิปไตยมีความหมาย สร้างคำตอบให้ประเทศได้