สหรัฐฯ อาจหั่นกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจีน แต่หุ้นจีนไม่ได้ตอบรับเชิงบวก ดัชนี CSI 300 ลดลงไป 2.3%

เมื่อวานนี้ (23 พฤษภาคม) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กำลังพิจารณาเกี่ยวกับการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ซึ่งการเปิดเผยดังกล่าวเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางเยือนญี่ปุ่นที่เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางมาเยือนภูมิภาคเอเชียในหลายๆ ประเทศ

หลังจากที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะพิจารณาในเรื่องของภาษีว่ามีส่วนหนุนในเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด

ทั้งนี้ กำแพงภาษีที่เกิดขึ้นเริ่มตั้งแต่ปี 2018 ในรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ทางการจีนก็ตอบโต้โดยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน นำไปสู่สงครามการค้าที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน

Taylor Nugent นักเศรษฐศาสตร์ ของ National Australia Bank กล่าวว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมาดูเหมือนจะตอบรับกับโอกาสที่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีท่าทีบรรเทาลง อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีแนวคิดจะลดกำแพงภาษีลงมา

“ในขณะที่การลดภาษีจะช่วยลดเงินเฟ้อลงได้บ้าง แต่ก็มีรายงานออกมาว่ารัฐบาลรู้สึกกังวลหากจะมีท่าทีที่อ่อนลงต่อจีน โดยเฉพาะก่อนที่จะถึงการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนนี้”

ประเด็นดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้บ้างเมื่อวานนี้ แต่ทางฝั่งของตลาดหุ้นจีนในวันนี้ (24 พฤษภาคม) ไม่ได้ตอบรับกับประเด็นดังกล่าว โดยดัชนี CSI 300 ลดลงไป 2.3% ลดลงมากสุดใน 1 วัน นับตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนี Hang Seng ฮ่องกง ลดลง 1.8%

แม้ว่าทางการจีนจะออกมาตรการ 33 ข้อ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการระบาดของโควิดระลอกใหม่และการล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้น ซึ่งรวมถึงการช่วยเหลือด้านภาษีด้วยวงเงิน 1.4 แสนล้านหยวน และแผนการลงทุน 3 แสนล้านหยวนในเรื่องของทางรถไฟ

Chi Lo นักกลยุทธ์อาวุโส ฝ่ายเอเชีย-แปซิฟิก ของ BNP Paribas Asset Management กล่าวว่า หลังจากเกิดปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และความเชื่อมั่นของผู้คนที่ลดลงหลังจากการล็อกดาวน์ในกรุงปักกิ่ง การพยายามช่วยเหลือด้านภาษีหรืออัดฉีดสภาพคล่องดูจะไม่ได้ช่วยมากนัก

ขณะที่ Chaoping Zhu นักกลยุทธ์ของ J.P. Morgan Asset Management มองว่า โดยภาพรวมตลาดยังอยู่ในระดับกลางๆ จากการที่นโยบายเหล่านี้ถูกคาดหวังไว้ก่อนและรับรู้ในราคาไปแล้วสำหรับบางกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ มี Sentiment การลงทุนดีขึ้น และราคาหุ้นยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจหลังจากที่ปรับฐานไปก่อนหน้านี้

อ้างอิง: