ท่ามกลางการดำรงชีวิตที่เผชิญหน้ากับสภาวะกดดันท้าทายที่ถาโถมเข้ามา ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาวะ หรือ Well-Being กล่าวว่า สิ่งที่คนคนหนึ่งเลือกที่จะทำในช่วงวันหยุดหรือวันว่าง นับได้ว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะเวลาที่ใช้ไปแล้วย่อมไม่อาจจะเรียกกลับคืนมาได้
ทั้งนี้ คนส่วนใหญ่มักนิยมใช้เวลาว่างในช่วงวันหยุดที่มีหมดไปกับการดูภาพยนตร์เรื่องโปรด หรือส่องอินสตาแกรมไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งแม้จะทำให้เพลิดเพลิน แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาวะ กิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้มีความสุขอย่างยั่งยืน ตรงกันข้าม กิจกรรมประเภทดังกล่าวมักจะทำให้รู้สึกอ่อนล้าหรือติดหล่มอยู่ในความจำเจ
สำหรับคนที่มีความสุขและประสบความสำเร็จมากที่สุดมักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสุดสัปดาห์ โดยกิจกรรมที่เลือกทำมักจะเป็นกิจกรรมที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าดีต่อสุขภาพ และสามารถปรับปรุงความผาสุกทางร่างกายและจิตใจของคนคนหนึ่งได้
งานนี้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หากต้องการมีชีวิตที่มีความสุขและยืนยาวขึ้น ลองทำ 3 กิจกรรมง่ายๆ เหล่านี้ในช่วงสุดสัปดาห์
1. ใช้เวลากับเพื่อนและครอบครัว (Spend time with friends and family)
จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในปี 2014 พบว่า วันหยุดสุดสัปดาห์เป็นวันที่ดีที่สุดของสัปดาห์ ไม่ใช่แค่สำหรับคนมีงานทำ แต่สำหรับคนว่างงานด้วย โดยนักวิจัยพบว่าความผาสุกทางอารมณ์เพิ่มขึ้นประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้ใช้เวลาวันหยุดอยู่กับครอบครัวและเพื่อนฝูง
คริสโตบอล ยัง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ซึ่งเข้าร่วมงานวิจัยครั้งนี้กล่าวว่า คนที่ใช้เวลาวันหยุดเพียงลำพังจะได้รับการกระตุ้นอารมณ์ทางบวกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเวลาที่ใช้กับครอบครัวและเพื่อนฝูงยังมีผลสำคัญอย่างมากสำหรับคนที่กำลังตกงาน หลังจากที่ตลอดทั้งสัปดาห์ใช้เวลาอยู่คนเดียวมานาน ดังนั้นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ได้ใช้กับคนที่เรารักและรักเรา จะช่วยเพิ่มกำลังใจและความเชื่อมั่นให้คนคนหนึ่งก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุขได้
2. การออกกำลังกาย (Exercise)
บรรดานักธุรกิจชั้นนำระดับโลกอย่าง โอปราห์ วินฟรีย์, เชอริล แซนด์เบิร์ก หรือ บิล เกตส์ ต่างก็ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายในลำดับต้นๆ เสมอ เพราะการออกกำลังกายไม่เพียงแต่ทำให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดแข็งแรง รวมถึงช่วยเพิ่มความจำและความสามารถในการเรียนรู้เท่านั้น แต่ยังสามารถหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินที่กระตุ้น ‘ความรู้สึกดี’ ได้อีกด้วย
ทั้งนี้ ผลการศึกษาในปี 2018 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Lancet พบว่าผู้ที่เคลื่อนไหวออกกำลังกายเป็นประจำจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมากกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย และยังพบว่าคนที่ออกกำลังกายจะมีวันที่รู้สึกแย่น้อยกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายถึง 43 เปอร์เซ็นต์
สำหรับการออกกำลังกายที่ได้ทำร่วมกับผู้อื่น เช่น การเล่นกีฬาแบบทีม ปั่นจักรยาน หรือไปวิ่งกับเพื่อน จะให้ผลบวกมากกว่าการออกกำลังกายแบบโดดเดี่ยวเพียงคนเดียว กระนั้นการออกกำลังกายทุกประเภทก็เป็นประโยชน์กับร่างกาย และลดความเครียดที่เป็นภาระต่อจิตใจ ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ลองหากิจกรรมที่ได้ใช้แรงกายที่ชอบที่สุดและลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ
3. การทำสมาธิ (Meditate)
ผลการศึกษาหลายฉบับแสดงให้เห็นว่า การฝึกสมาธิช่วยลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะปัญหาสุขภาพที่เกิดจากความเครียด เช่น โรคทางจิตเวช และไมเกรน รวมถึงช่วยเพิ่มความความสุขโดยรวมในชีวิตได้
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หากวันจันทร์-ศุกร์ ยิ่งกับภารกิจงานที่อัดแน่น การฝึกสติทำสมาธิในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ครั้งละ 15-20 นาที ก็เป็นประโยช์ทางบวกต่อสุขภาพจิตได้มาก
ชารอน ซัลซ์เบิร์ก ผู้เขียนหนังสือเรื่อง ‘Real Happiness’ กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความสม่ำเสมอ กล่าวคือ ทำครั้งละสั้นๆ แต่ทำเป็นกิจวัตรประจำวันหยุด จะช่วยฟื้นฟูจิตใจและทำให้สมองปลอดโปร่งได้
ขณะที่ โอปราห์ วินฟรีย์ กล่าวว่า ตนเองมักจะนั่งสมาธิทุกเช้าและเย็น ครั้งละ 20 นาที เพื่อเรียกพลังจากความสงบเงียบ และการทำสมาธิช่วยให้รู้สึกอิ่มเอม มีความหวัง มีความสุข และพร้อมที่จะก้าวต่อไป
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP