หุ้น JTS จากราคาปิดของหุ้นไทย ณ วันที่ 11 เมษายน 2565 ส่งผลให้มูลค่าหุ้นตามราคาตลาด (Market Cap) ของ บมจ.จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น (JTS) ทะลุขึ้นไปถึงระดับ 3.2 แสนล้านบาท สูงกว่ามูลค่าของบริษัทอย่าง บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) หรืออย่าง บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ไปแล้ว
ปัจจุบัน JTS กลายเป็นบริษัทมหาชนที่มีมูลค่ามากที่สุดอันดับที่ 14 ในไทย ด้วยราคาหุ้นที่กระโดดขึ้นมาเกือบ 440 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงปลายปี 2562 ที่บริษัทเพิ่งจะมีมูลค่าอยู่ที่เพียง 720 ล้านบาท
สตอรีที่ผลักให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นมาอย่างร้อนแรง ทุกคนคงพอจะทราบกันอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องของการเปลี่ยนธุรกิจจาก IT Solution มาสู่ธุรกิจขุดเหมือง Bitcoin อย่างเต็มตัว
จะเห็นว่าราคาหุ้นของ JTS ไต่ขึ้นมาต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2564 ก่อนที่บริษัทจะประกาศการเข้าลงทุนธุรกิจขุดเหมือง Bitcoin ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 ส่วนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก่อนหน้านั้นคือ การเข้าซื้อหุ้นบริษัท จัสเทล เน็ทเวิร์ค จำกัด ซึ่งทำธุรกิจโครงข่ายโทรคมนาคมเมื่อเดือนพฤษภาคม 2564
บทความที่เกี่ยวข้อง
- มาตรการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ใหม่ เริ่มบังคับใช้ 4 เม.ย. นี้
- ก.ล.ต. เตือนผู้ถือหุ้น JTS ศึกษาก่อนโหวตลงทุนเหมืองบิทคอยน์ หลังที่ปรึกษาอิสระชี้ความเสี่ยงสูง-กระทบกระแสเงินสด
- JTS ออกหุ้นกู้มีประกันมูลค่า 4 พันล้านบาท นำเงินระดมทุนต่อยอดธุรกิจเหมืองขุด Bitcoin
- เริ่มพรุ่งนี้! ตลาดขังหุ้น JTS เข้ามาตรการแคชบาลานซ์ระดับ 2 หลังราคาทะยาน 239% จากต้นปี
สำหรับผลการดำเนินงานของ JTS ในปี 2564 แม้จะเติบโตดี โดยมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นจาก 309 ล้านบาท เป็น 1,876 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นราว 507% ขณะที่กำไรสุทธิก็เพิ่มขึ้นจากระดับ 44 ล้านบาท เป็น 221 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 402% แต่การเพิ่มขึ้นของทั้งรายได้และกำไรสุทธิยังเทียบไม่ได้กับราคาหุ้นที่ทะยานขึ้นมากว่า 23,216% จากราคาปิดที่ 1.93 บาทเมื่อสิ้นปี 2563 มาสู่ 450 บาทในปัจจุบัน
โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นของ JTS มาจากธุรกิจโครงข่ายโทรคมนาคมที่เข้าลงทุนใหม่ ส่วนรายได้จากขุดเหมือง Bitcoin ยังอยู่เพียง 16.53 ล้านบาท
จากข้อมูลที่ JTS เผยแพร่ล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 บริษัทติดตั้งเครื่องขุด Bitcoin ไปแล้วทั้งสิ้น 525 เครื่อง สามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทประมาณ 99.12 ล้านบาทต่อปี ส่วนปี 2565 วางแผนจะขยายเครื่องขุด Bitcoin เพิ่มเติมอีก 3,000 เครื่อง จากแผนในอนาคตที่จะขยายไปให้ถึง 6,300 เครื่อง
แต่คำถามที่ตามมาคือ มูลค่าที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็วขนาดนี้ สมเหตุสมผลมากน้อยเพียงใดกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น?
ในเชิงปัจจัยพื้นฐาน หากอิงจากความเห็นที่ปรึกษาการเงินอิสระเกี่ยวกับโครงการลงทุนของ JTS ในครั้งนี้ การคำนวณความคุ้มค่าในการลงทุนยังทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนหลายส่วน โดยเฉพาะความผันผวนของราคา Bitcoin ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อรายได้และกำไรของบริษัท
ด้วยความร้อนแรงของราคาหุ้นที่ผ่านมาส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ พยายามลดความร้อนแรงของราคาหุ้นลงอยู่เป็นระยะ สะท้อนจากการที่หุ้น JTS เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขายถึง 11 ครั้งในช่วงเวลาประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดที่เกิดขึ้นคือ มาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 2 แบบใหม่ มีผลตั้งแต่วันที่ 8-28 เมษายน 2565 โดยหุ้น JTS จะถูกกำหนดให้ซื้อด้วยการวางเงินสด 100% ก่อนซื้อ และห้ามนำหุ้น JTS มาคำนวณวงเงินซื้อขาย รวมถึงห้ามทำ Net Settlement
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า ในเชิงธุรกิจ JTS น่าจะทำได้จริงสำหรับการลงทุนขุด Bitcoin โดยเฉพาะหากเทียบกับบริษัทอื่นๆ ของไทยที่จะเข้าลงทุนเช่นกัน เนื่องจาก JTS ทำเองทั้งหมด ทำให้มีจุดคุ้มทุนที่สั้นกว่าและเริ่มมีกำไรให้เห็นแล้ว ส่วนธุรกิจเดิมก็ยังหนุนอยู่ด้วยบางส่วน
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นของ JTS ในปัจจุบันอยู่นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานที่จะคาดการณ์ได้ เพราะตัวแปรหนึ่งที่ควบคุมไม่ได้คือ ราคาของ Bitcoin ที่บริษัทจะขายได้ ทำให้เราไม่สามารถคำนวณกระแสเงินสดออกมาได้ และด้วย JTS ที่เป็นผู้นำในธุรกิจนี้ของไทย จึงหาหุ้นที่จะใช้อ้างอิงในการเปรียบเทียบได้ยาก
“เท่าที่เห็นปัจจัยต่างๆ ก็ยังไม่มีอะไรที่น่าจะทำให้ราคาวิ่งได้ขนาดนี้ แต่ละส่วนยังคงค่อยๆ ไปตามแผนของบริษัท และเมื่อดูจากราคาคริปโตก็ยังไม่ได้อยู่ในจุดที่น่าจะทำให้ราคาหุ้นขึ้นได้ขนาดนี้ ราคาตอนนี้เหนือความคาดหมายไปอีก”
ขณะเดียวกันหากจะพิจารณาเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในต่างประเทศ โดยใช้ประมาณการ Hashrate มาใช้ในการคำนวณ มีการประเมินในเบื้องต้นว่า หาก JTS สามารถขยายไปถึง 20,000 เครื่อง ในปี 2566 มูลค่าของบริษัทควรจะอยู่ที่ราว 1.05 แสนล้านบาท และหากขยายได้เป็น 40,000 เครื่อง ในปี 2567 มูลค่าอาจจะอยู่ที่ 2.1 แสนล้านบาท แต่ราคาหุ้นในปัจจุบันก็เกินไปมากแล้ว
ด้านแหล่งข่าวนักวิเคราะห์กล่าวว่า สิ่งที่นักลงทุนต้องติดตามคือ ราคา Bitcoin และนโยบายของประเทศต่างๆ ที่จะส่งผลต่อราคา และอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญคือ ความเสี่ยงในเรื่องของค่าไฟฟ้า อย่างในจีนที่ไฟฟ้าไม่เพียงพอทำให้ภาครัฐสั่งแบนการขุด Bitcoin ส่วนในไทยปัจจุบันพึ่งพาก๊าซธรรมชาติราว 2 ใน 3 สำหรับการผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศ ทำให้เราเห็นว่าบางบริษัทพยายามปิดความเสี่ยงนี้ด้วยการไปลงทุนในลาวแทน
“ในเรื่องมูลค่าหุ้น ส่วนตัวอยากจะให้นักลงทุนลองดูว่ากำไรที่บริษัททำได้กับมูลค่าในปัจจุบัน หรืออาจจะลองเปรียบเทียบกับบริษัทที่คล้ายกัน ก็จะเห็นภาพชัดขึ้นว่าราคาในขณะนี้สมเหตุสมผลหรือไม่”
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP