การขุด Bitcoin ใช้พลังงานมหาศาลมากกว่าการใช้ไฟฟ้าทั้งปีของหลายประเทศในโลก การทำธุรกรรมแต่ละครั้งยังใช้พลังานมากกว่าเหรียญอื่นในตลาดอีกด้วย อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมการขุดคริปโตนั้นใช้พลังงานน้อยกว่าอีกหลายอุตสาหกรรมในโลก
Bitcoin มักจะสร้างความกังวลทางด้านสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ เมื่อปี 2021 ประเทศจีนได้ปราบปรามการขุดคริปโตอย่างจริงจัง เนื่องจากการขุดใช้พลังงานมากเกินไป บริษัทรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ Tesla ก็ประกาศยกเลิกชำระเงินด้วย BTC เนื่องจากประเด็นสิ่งแวดล้อมเช่นกัน ล่าสุดสหภาพยุโรป (EU) ผลักดันให้แบนการขุดคริปโตแบบ PoW เพื่อสนับสนุนพลังงานที่ยั่งยืนมากขึ้น แม้จะถูกโหวตให้ตกไป แต่ก็ทำให้ผู้คนตั้งคำถามมากขึ้นว่า Bitcoin ใช้พลังงานมากแค่ไหนกันเชียว
สกุลเงินดิจิทัลแบบ PoW สิ้นเปลืองพลังงานมากแค่ไหน?
ไม่ใช่สกุลเงินดิจิทัลทุกสกุลที่สามารถขุดได้ ปัจจุบันเหรียญที่สามารถขุดได้ ได้แก่ Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH), Litecoin (LTC) และ Dogecoin (DOGE) เป็นต้น ซึ่งสกุลเงินเหล่านี้ใช้กลไกแบบ Proof-of-Work (PoW) นั่นเอง
กลไก Proof-of-Work (PoW) คือการที่ผู้เข้าร่วมระบบในเครือข่ายต้องแก้ปัญหาอัลกอริทึมเพื่อยืนยันธุรกรรม และเพิ่มบล็อกใหม่ให้กับเชน จากนั้นผู้เข้าร่วมระบบก็จะได้รับผลตอบแทนเป็นคริปโตเคอร์เรนซี อัลกอริทึมได้รับการออกแบบให้แก้ปัญหาได้ยากขึ้นเมื่อมีคอมพิวเตอร์จำนวนมากขึ้นที่พยายามแก้ปัญหา ซึ่งหมายความว่าต้องใช้พลังงานในการคำนวณจำนวนมหาศาล
การขุด Bitcoin เป็นที่พูดถึงอย่างมากว่าสิ้นเปลืองพลังงานมาก ข้อมูลจาก Cambridge Bitcoin Electricity Consumption Index เผยให้เห็นว่าการขุด Bitcoin ใช้พลังงาน 136.5 TWh ทุกปี ซึ่งมากกว่าปริมาณพลังงานทั้งหมดที่ประเทศจำนวนมากใช้ ซึ่งข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าการขุด Bitcoin ใช้พลังงานมากกว่าหลายประเทศ เช่น ยูเครน นอร์เวย์ สวีเดน อาร์เจนตินา และอีกหลายประเทศทั่วโลก โดย 1,000,000,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) เท่ากับ 1 เทระวัตต์ชั่วโมง (TWh)
อย่างไรก็ตาม การขุด BTC ทั้งปีใช้พลังงานน้อยกว่าการใช้ไฟฟ้าในประเทศจีนหลายเท่า ซึ่งจีนบริโภคไฟฟ้าทั้งปีที่ 6,875 TWh ตามมาด้วยสหรัฐฯ ที่ 3,843 TWh รองลงมาด้วยอินเดีย รัสเซีย ญี่ปุ่น และบราซิล
การหันไปหากลไกแบบ Proof-of-Stake (PoS) ถือว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าอย่างมาก เนื่องจากไม่ต้องใช้เครื่องขุด ผู้เข้าร่วมเครือข่ายจะต้อง Stake เหรียญของตนไว้ในระบบ เพื่อโอกาสในการได้รับเลือกให้ตรวจสอบธุรกรรมใหม่และได้รับผลตอบแทน
ขณะนี้ Ethereum กำลังจะย้ายจาก Proof-of-Work ไปเป็น Proof-of-Stake ในการอัปเกรดเป็น Ethereum 2.0 ซึ่งหากสำเร็จคาดว่าจะลดการใช้พลังงานลงได้ถึง 90% เลยทีเดียว
คริปโตเหรียญอื่นในตลาดใช้พลังงานเยอะไหม?
หากเปรียบเทียบการทำธุรกรรม Bitcoin เมื่อเทียบกับคริปโตเหรียญอื่นๆ ในตลาด จะเห็นได้ว่า Bitcoin (BTC), Ethereum (EHT), Bitcoin Cash (BCH), Litecoin (LTC) ใช้พลังงานมากเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งเหรียญเหล่านี้ใช้กลไกแบบ PoW ทั้งหมด
ในขณะนี้ Cardano (ADA), Dogecoin (DOGE) และ Ripple (XRP) ใช้พลังงานน้อยกว่ามาก นอกจากนี้เหรียญยอดฮิตอย่าง Solana (SOL) ใช้พลังงานต่อธุรกรรมที่ 0.00051 kWh เท่านั้น หาก Ethereum อัปเกรดเป็น ETH 2.0 ได้สำเร็จจะลดการใช้พลังงานได้มากถึง 90% อยู่ที่ 0.8729 kWh แต่ก็ยังใช้พลังงานมากกว่า Solana คู่แข่งที่ได้ชื่อว่าเป็น Ethereum Killer
การขุด Bitcoin ใช้พลังงานแค่ไหนเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น
อุตสาหกรรมการขุด Bitcoin ใช้พลังงานไฟฟ้าประมาณ 136 TWh ต่อปี ซึ่งน้อยกว่าอุตสาหกรรมเคมีเกือบ 10 เท่าเลยทีเดียว ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า อุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ และอุตสาหกรรมข้อมูล ล้วนใช้พลังงานไฟฟ้ามากกว่าการขุด Bitcoin ทั้งนั้น สุดท้ายนี้ เมื่อเทียบกับการขุดทองคำ สินทรัพย์ที่มักถูกเปรียบเทียบกับ BTC มาตลอด การขุดทองคำใช้พลังงานทั้งปีที่ 131TWh ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากสกุลเงินดิจิทัลอันดับหนึ่งมากอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับการใช้งานในครัวเรือน การขุด BTC ใช้พลังงานมากกว่าการเปิดไฟฟ้าทั้งปีในประเทศสหรัฐฯ การเปิดตู้เย็น และการดูทีวีทั้งปีในสหรัฐฯ ด้วย
อ้างอิง: