หลายประเทศยุโรปประท้วงต้านมาตรการคุมเข้มโควิด-บังคับฉีดวัคซีน ขณะที่ฝรั่งเศสผ่านกฎหมายบัตรผ่านวัคซีน หลังโควิดระบาดหนัก

ประชาชนในหลายประเทศของยุโรปต่างออกมาร่วมชุมนุมประท้วงเมื่อวานนี้ (16 มกราคม) เพื่อต่อต้านแนวทางของรัฐบาล ในการกำหนดมาตรการที่เข้มงวดเพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด และการรณรงค์ให้ประชาชนเร่งฉีดวัคซีน รวมถึงการบังคับใช้บัตรผ่านวัคซีน

โดยเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศยุโรปที่เผชิญการระบาดของโควิดระลอกใหม่ และมีการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดมานานกว่า 1 เดือน พบว่ามีประชาชนหลายพันคนออกมาชุมนุมประท้วงในกรุงอัมสเตอร์ดัม เพื่อต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์และการคุมเข้มป้องกันโควิดของรัฐบาล

ซึ่งกลุ่มผู้ประท้วงพากันถือป้ายและร่มสีเหลืองออกมาชุมนุม และยังมีกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อน ขับรถแทรกเตอร์เข้าสู่อัมสเตอร์ดัมเพื่อร่วมประท้วงที่จตุรัสใจกลางเมือง นอกจากนี้ยังมีการจัดชุมนุมประท้วงต่อต้านมาตรการป้องกันโควิดของรัฐในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ

การประท้วงดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ระบาดในเนเธอร์แลนด์ที่กลับมาทวีความรุนแรงท่ามกลางการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลตาและโอมิครอน โดยมีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงเป็นสถิติใหม่เฉลี่ยถึงวันละกว่า 30,000 คนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

ขณะที่รัฐบาลได้ทยอยยกเลิกการล็อกดาวน์แล้วในบางส่วน และอนุญาตให้ร้านค้า ร้านตัดผม และฟิตเนสกลับมาเปิดได้อีกครั้ง

ส่วนที่ฮังการี ประชาชนมากกว่า 1,000 คน ร่วมเดินขบวนประท้วงต่อต้านการบังคับฉีดวัคซีนในกรุงบูดาเปสต์ ซึ่งการเดินขบวนจัดขึ้นโดยกลุ่มเคลื่อนไหวขวาจัด Our Homeland Movement ที่พยายามรณรงค์ต่อต้านการบังคับฉีดวัคซีน ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในวันที่ 3 เมษายนนี้

“วัคซีนไม่ควรบังคับ! เราไม่ทนต่อการแบล็กเมล”, “ฉันไม่ได้ฉีดวัคซีน แต่ไม่ใช่คนร้าย” ส่วนหนึ่งของข้อความในป้ายประท้วงระบุ

ทั้งนี้รัฐบาลฮังการีได้เริ่มต้นบังคับฉีดวัคซีนสำหรับประชากรในกลุ่มครูและบุคลากรทางการแพทย์ หลังจากที่สถานการณ์ระบาดของโควิดรุนแรงขึ้นอีกครั้ง โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงท่ามกลางการระบาดของโอมิครอน ซึ่งรัฐบาลยังได้เดินหน้าฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และได้เริ่มฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่ 4 แก่ประชาชนบางกลุ่ม

ปัจจุบันฮังการีมีอัตราการฉีดวัคซีนโควิดอยู่ที่ประมาณ 60% โดยมีประมาณ 6 ล้านคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม และ 3.3 ล้านคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศในยุโรปตะวันตกอื่นๆ

เช่นเดียวกับที่มอลตา ซึ่งเป็นประเทศขนาดเล็กสุดในกลุ่ม EU เมื่อวานนี้ก็มีประชาชนหลายร้อยคนเข้าร่วมชุมนุมประท้วงที่กรุงวัลเลตตา เพื่อต่อต้านมาตรการคุมเข้มป้องกันโควิด โดยเฉพาะการบังคับใช้ใบรับรองฉีดวัคซีนเพื่อเข้าใช้บริการในสถานที่สาธารณะต่างๆ เช่น ร้านอาหาร ฟิตเนส และบาร์

ซึ่งผู้ประท้วงหลายคนถือป้ายต่อต้านการบังคับฉีดวัคซีน โดยระบุว่า “เสรีภาพ”, “ไม่เอาบัตรผ่าน”, “วัคซีนคือยาพิษ” และ “ร่างกายของฉันไม่ใช่ของรัฐ”

อย่างไรก็ตาม มอลตาถือเป็นหนึ่งในประเทศ EU ที่มีอัตราฉีดวัคซีนให้ประชาชนสูงที่สุด และมีประชากรกลุ่มผู้ใหญ่เกือบ 3 ใน 4 ที่ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้ว ซึ่ง คริส เฟียร์น รัฐมนตรีสาธารณสุขของมอลตา ปกป้องมาตรการบัตรผ่านวัคซีนที่เริ่มบังคับใช้ในวันนี้ (17 มกราคม) โดยชี้ว่ามีความจำเป็นในการป้องกันการระบาดของโอมิครอนที่ตอนนี้พบในผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่า 90%

ขณะเดียวกันที่ฝรั่งเศสเมื่อวานนี้รัฐสภาฝรั่งเศสมีมติรับรองกฎหมายฉบับใหม่ เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดอย่างเข้มงวด ซึ่งรวมถึงกฎหมายบัตรผ่านวัคซีนที่เผชิญกระแสต่อต้านจากกลุ่มผู้ประท้วงจำนวนไม่น้อย

โดยสภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศสลงมติด้วยคะแนนเสียง 215 ต่อ 58 เสียง เห็นชอบให้รับรองกฎหมายฉบับใหม่ดังกล่าวที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งภายใต้กฎหมายฉบับใหม่นี้ประชาชนจำเป็นต้องมีใบรับรองการฉีดวัคซีนในการเข้าสถานที่สาธารณะต่างๆ ทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ โรงภาพยนตร์ และรถไฟโดยสารระยะทางไกล

ซึ่งกฎหมายฉบับเดิมที่ใช้อยู่ ณ ปัจจุบัน ยังอนุญาตให้ประชาชนที่ไม่ฉีดวัคซีนสามารถเข้าใช้บริการสถานที่สาธารณะต่างๆ ได้ โดยมีเพียงผลตรวจโควิดเป็นลบ

ทั้งนี้ เมื่อวันเสาร์ (15 มกราคม) ก็มีประชาชนหลายพันคนออกไปชุมนุมประท้วงต่อต้านการลงมติกฎหมายฉบับใหม่นี้ ทั้งในกรุงปารีสและหลายเมือง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าจำนวนผู้ชุมนุมนั้นลดลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน

ขณะที่ฝรั่งเศสมีประชากรที่เข้ารับการฉีดวัคซีนแล้วเกือบ 78% โดยสถานการณ์ระบาดของโควิดระลอก 5 ภายในประเทศนั้นทวีความรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโอมิครอน ซึ่งส่งผลให้ผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งสูงสุดเกินวันละ 300,000 คน

ภาพ: Photo by Selman Aksunger/Anadolu Agency via Getty Images

อ้างอิง: