สถานีโทรทัศน์ CNBC รายงานรวบรวมความเห็นของนักวิเคราะห์และนักกลยุทธ์การลงทุนส่วนหนึ่ง ที่ออกมาเสนอแนะความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการลงทุนในปีนี้ ด้วยการจัดสรรพอร์ตลงทุนส่วนหนึ่งไปลงทุนยังกองทุน ARKK Innovation ETF ของราชินีนักลงทุน เคธี วูด และอีกส่วนหนึ่งให้ลงทุนในหุ้นจีนกับคริปโตเคอร์เรนซี โดยเชื่อมั่นว่ากองทุนและหุ้นเหล่านี้มีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว
ทอม ไลดอน (Tom Lydon) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) แห่ง ETF Trends กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาอาจไม่ใช่ปีที่ดีนักสำหรับกองทุน ARKK Innovation ETF ของวูด ที่ถือหุ้นเทคโนโลยีอย่าง Zoom Video หรือ Palantir เพราะปรับตัวลดลงถึง 24% แต่ในอนาคตอย่างน้อยในช่วง 20 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีและสตาร์ทอัพเหล่านี้ยังมีแนวโน้มเติบโต โดยเฉพาะในปีนี้ที่น่าจะกลับมา โดยหากมองย้อนกลับไปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กองทุน ARKK มีการเติบโตถึง 138% เมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 ที่อยู่ที่ 89%
ด้าน จอห์น เดวี (John Davi) หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนของ Astoria Portfolio เห็นด้วยกับแนวคิดของไลดอนที่มองว่า กองทุนของวูดจะมีโอกาสพลิกฟื้นกลับมาในปีนี้ ก่อนย้ำว่า แค่ผลลัพธ์ที่ย่ำแย่ในปีเดียว ไม่อาจมองข้ามผลงานที่ยอดเยี่ยมใน 4-5 ปีก่อนหน้า และไม่อาจตัดสินแนวโน้มการเติบโตในปีนี้
นอกจากนี้ ในส่วนของใครก็ตามที่สนใจสินทรัพย์ทางเลือกอย่างคริปโตเคอร์เรนซี เดวีก็แนะนำให้เลือกลงทุนได้ แต่ต้องไม่เกิน 5% ของพอร์ตลงทุน เพราะจะไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนมากนัก
ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญอย่างไลดอนยังแนะให้นักลงทุนพิจารณาลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีของจีน โดยอาจเลือกลงทุนผ่านกองทุน เนื่องจากเชื่อมั่นว่า ในที่สุดแล้วจีนเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจโลก และการเข้าไปลงทุนในจีนก็คือการสร้างโอกาสให้กับตนเองในอีก 10 ปีข้างหน้า
วันเดียวกัน เมื่อวานนี้ (4 มกราคม) มีรายงานว่าตลาดหุ้นยุโรปพลิกกลับมาพุ่งทะยานทุบสถิติสูงสุดระลอกใหม่เป็นประวัติการณ์ต้อนรับปีใหม่ โดยในช่วงการซื้อขายระหว่างวัน ดัชนี pan-European STOXX 600 สามารถพุ่งทำสถิติสูงสุดที่ 495.41 จุด ก่อนปรับตัวลดลง และปิดตลาดปรับตัวในแดนบวกเพิ่มขึ้นจากวันก่อน 0.8%
โดยหุ้นที่พลิกฟื้นกลับมาได้อย่างโดดเด่นเมื่อวานนี้ (4 มกราคม) คือหุ้นในกลุ่มเดินทางที่โดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.4% โดยมีหุ้น Wizz Air ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดเกือบ 12%
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โควิดที่คลี่คลาย ทำให้หุ้นอีคอมเมิร์ซและแพลตฟอร์มออนไลน์ปรับตัวลดลง เช่น หุ้นร้านขายของชำออนไลน์ของ Ocado ที่ลดลงกว่า 7% ขณะที่หุ้นของ HelloFresh ลดลง 9%
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2022/01/04/cathie-wood-and-china-these-underperformers-may-make-a-2022-comeback.html
- https://www.cnbc.com/2022/01/04/european-markets-head-for-upbeat-open-as-positive-momentum-continues.html
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP