หากเราศึกษาตลาดธุรกิจสกินแคร์ทั่วโลก เราก็จะเห็นได้ว่าในปี 2020 มีมูลค่าสูงถึง 129.23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการเก็บสถิติข้อมูลของบริษัท Grand View Research ประเทศสหรัฐอเมริกา และตั้งแต่ปี 2021-2028 ก็มีการคาดการณ์ว่าจะมีอัตรากระโดดสูงขึ้นถึง 4.8% ต่อปี ซึ่งหากเจาะลึกลงไปและดูภูมิทัศน์ของตลาดสกินแคร์ระดับลักชัวรีไฮเอนด์ เราก็จะเห็นได้ว่ามีผู้เล่นใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ที่แต่ละเจ้าต่างมีสูตรและการใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกันออกไปเพื่อเป็นจุดขายสำคัญ (Unique Selling Point)
โดยหนึ่งในแบรนด์ที่ถือว่าเป็นที่กล่าวขานและเป็นที่พูดถึงอย่างมากก็ต้องยกให้ Augustinus Bader ที่เพียงภายใน 3.5 ปีที่ก่อตั้งขึ้นมาโดยศาสตราจารย์ Augustinus Bader จากประเทศเยอรมนี ก็ถือว่าสามารถพลิกเกมของธุรกิจสกินแคร์ระดับลักชัวรีและก้าวมาเป็นหนึ่งในแบรนด์ระดับแถวหน้าอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่การันตีได้ก็คือ ในปี 2021 ทาง Beauty Inc. ซึ่งเป็นวารสารชื่อดังภายใต้ WWD (Women’s Wear Daily) ของสหรัฐอเมริกา ก็ได้ให้ผู้เชี่ยวชาญมากมายโหวตว่าแบรนด์สกินแคร์ที่ดีที่สุดตลอดกาลคือแบรนด์ไหน ซึ่ง Augustinus Bader ก็สร้างความช็อก สามารถมาเป็นที่หนึ่งได้ เอาชนะอีกหลายแบรนด์ดังที่เราคุ้นเคยกันดีซึ่งอยู่ในตลาดมาแล้วเป็นสิบๆ ปี โดยเฉพาะกับตัวผลิตภัณฑ์ The Cream และ The Rich Cream แถมดารามากมายทั่วโลก ตั้งแต่ Gwyneth Paltrow, Timothée Chalamet, Brad Pitt, Kim Kardashian, Naomi Campbell, Kris Jenner และ Dakota Johnson ก็ต่างเคยใช้ Augustinus Bader มาแล้วทั้งนั้น ส่วน Victoria Beckham ก็ได้ร่วมกับทางแบรนด์สร้างไลน์สกินแคร์ด้วยกันอีกด้วย
ล่าสุด ทาง Augustinus Bader ก็ไม่รอช้า ขยายไลน์สกินแคร์ไปอีกขั้น โดยการเผยสองผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ออกมาอย่าง The Serum และ The Eye Cream ซึ่งทั้งคู่ก็มาพร้อมกับตัว TFC8® สูตรเอกสิทธ์ิเฉพาะของทาง Augustinus Bader ที่มีการคิดค้นและทดลองมากว่า 30 ปี โดยเป็นการผสมผสานของกรดอะมิโนธรรมชาติ วิตามินคุณภาพสูง และโมเลกุลสังเคราะห์ที่พบตามธรรมชาติในผิวหนัง
The Serum
สำหรับตัว The Serum ที่บรรจุภัณฑ์ในโลหะและฐานแก้วที่สามารถรีไซเคิลและนำไปใช้ใหม่ได้แบบ 100% ก็เป็นเซรั่มที่ให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาที่ท้าทายผิวตั้งแต่ภาวะขาดน้ำไปจนถึงสัญญาณแห่งวัยที่เริ่มมองเห็น โดยจะช่วยลดเลือนริ้วรอยได้อย่างดี ซึ่งนอกเหนือจากตัว TFC8® แล้ว The Serum ก็มีส่วนผสมหลักเป็นสารสกัดเมล็ดทับทิมเข้มข้น น้ำมันรำข้าว วิตามินซี สควาเลน เรสเวอราทรอล สารสกัดจากเอเดลไวส์ โซเดียมไฮยาลูโรเนต และพอลิแซ็กคาไรด์ มอยส์เจอร์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการดูแลผิวที่ทำงานได้หลายด้านเพื่อรักษาระดับความชุ่มชื้นที่เหมาะสม โดยจากการศึกษาของทางแบรนด์ก็เห็นว่า 93% ของผู้ใช้มีริ้วรอยลดลง และ 97% มีผิวชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น
The Serum
มาที่ The Eye Cream เป็นครีมเนื้อบางเบาที่ให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้ม อัดแน่นด้วยเปปไทด์ พร้อมลดอาการบวมใต้ตาและความหมองคล้ำ ริ้วรอย และร่องลึก ซึ่งเป็นปัญหาที่หลายคนพบเจอ โดย The Eye Cream มีบรรจุภัณฑ์ในโลหะและฐานเซรามิกที่สามารถรีไซเคิลและนำไปใช้ใหม่ได้แบบ 100% เหมือนกับตัว The Serum โดยส่วนผสมหลักอื่นๆ ในครีมนี้ก็มีทั้งสารสกัดจากใบบัวบก วิตามิน B5 น้ำมันโจโจบา และสารสกัดจากสาหร่ายคู่ ซึ่งจากการศึกษาของทางแบรนด์ก็เห็นว่า 93% ของผู้ใช้เห็นความคล้ำใต้ดวงตาลดลง
ปิดท้าย แม้ Augustinus Bader จะเป็นแบรนด์สกินแคร์ที่นำเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องในหลายด้าน แต่ทุกผลิตภัณฑ์ ซึ่งรวมไปถึง The Serum และ The Eye Cream ก็มีความเป็น Clean Science แบบครบถ้วน โดยปลอดจีเอ็มโอ ไม่มีส่วนผสมจากสัตว์ ไม่มีสารกันบูด พาราเบน ไม่ใส่น้ำหอม ไม่มีน้ำมัน Mineral Oils ปราศจากสารเจือปน ปราศจากกลูเตน และไม่มีวัตถุอันตราย
สำหรับใครที่สนใจ The Serum และ The Eye Cream ของ Augustinus Bader สามารถไปหาซื้อได้แล้วที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาชิดลม, ลาดพร้าว, ปิ่นเกล้า และทางเว็บไซต์ Central.co.th
ภาพ: Augustinus Bader
อ้างอิง: