×

‘ก็แค่ไม่มีฉัน’ ซิงเกิลล่าสุด ดนตรีในแบบวี วิโอเลต ที่แท้จริง

10.06.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • เพลง ก็แค่ไม่มีฉัน คือผลงานลำดับที่ 2 ของวีในฐานะศิลปินค่ายยูนิเวอร์แซล มิวสิก กรุ๊ป (UMG)
  • ปัญหาในการทำเพลงนี้คือการหาดนตรีที่เป็นตัวตนของวี วิโอเลต ให้เจอ แต่วีเป็นนักร้องที่ไม่รู้ทฤษฎีดนตรี ทำให้สื่อสารกับใครไม่ได้ว่าเสียงที่ต้องการเป็นแบบไหน วีต้องเปลี่ยนดนตรีไปทั้งหมด 7 เวอร์ชัน ก่อนมาลงตัวที่เวอร์ชันล่าสุดที่ได้ฟังกันอยู่ตอนนี้

       วี-วิโอเลต วอเทียร์ คือหนึ่งในชื่อที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้ทุกครั้งเมื่อรู้ว่าเธอจะมีผลงานอะไรออกมา ไม่ว่าจะเป็นเพลงประกอบละคร ภาพยนตร์ หรือแม้กระทั่งการคัฟเวอร์เพลงของคนอื่นที่เหมือนจะสะกดให้คนฟังอยู่ในภวังค์อยู่เสมอ เมื่อเสียงของเธอลอยเข้ามาอยู่ในโสตประสาทของเรา

     แต่สิ่งที่เราสนใจมากที่สุดก็คือผลงานเพลงที่เป็นของตัวเธอเองจริงๆ ก่อนหน้านี้เธอเคยปล่อยเพลง อยากฟัง ซิงเกิลโฟล์กป๊อปหวานเศร้าออกมาทำให้หัวใจของเราสั่นไหวไปแล้ว ผ่านไป 1 ปี วีกลับมาอีกครั้งในเพลง ก็แค่ไม่มีฉัน ที่เธอต้องใช้เวลาอยู่นานกับการทุ่มเทเพื่อหาคำตอบว่าจริงๆ แล้ว ‘ดนตรี’ ของวี วิโอเลต เป็นอย่างไรกันแน่

     หลังผ่านความพยายามมาทุกรูปแบบ ในที่สุดวีก็หาแนวทางนั้นเจอ (แม้ว่าจะยังบอกไม่ได้ชัดๆ ว่าควรจะเรียกแนวเพลงนี้ว่าอะไรก็ตาม) และเป็นการค้นพบครั้งสำคัญเพื่อปูทางไปสู่อัลบั้มเพลงสากลครั้งแรกของเธอ

 

 

ขอย้อนกลับไปตั้งแต่เราเห็นผลงานของวีครั้งแรก ยังจำความรู้สึกตอนเล่นมิวสิกวิดีโอเพลง หายใจออกก็เหงา หายใจเข้าก็คิดถึง ของวง C-Quint ได้อยู่ไหมว่าเป็นอย่างไรบ้าง

     สนุกมาก ตอนนั้นมีพี่แมวมองมาเจอวีที่สยามฯ แล้วก็ติดต่อมา บอกว่าให้ไปเป็นเอ็กซ์ตร้าในมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากอยากสนุกอย่างเดียว อยากไปเจอนักร้อง ตอนนั้นก็ฟังเพลงอาร์เอส ฟังกามิกาเซ่อยู่แล้ว ได้เงินแค่ 1,000 บาทเองนะ ถ่ายทั้งวัน แต่เล่นเต็มที่มาก

 

ความคิดอยากเข้าวงการบันเทิงมีมาตั้งแต่ตอนนั้นเลยหรือเปล่า

     มีความรู้สึกว่าอยากเป็นนักร้องนักแสดงตั้งแต่เด็ก ตอนอนุบาลก็ชอบเล่นพ่อแม่ลูก ชอบแสดงบทบาทสมมติอะไรพวกนี้อยู่แล้ว ตอนม. 2 เขาเริ่มเปิดรับสมัครพิธีกรรายการ สตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก รุ่น 2 วีก็เคยคิดจะไปสมัครกับเขาด้วยนะ เรื่องนี้ไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อนเลย (หัวเราะ) ไปถ่ายรูปเตรียมไว้หมดแล้ว แต่ตอนนั้นเพิ่งโดนอาจารย์ที่โรงเรียนตัดผมมาแล้วมันเด๋อมาก พอดูไปดูมาก็อายตัวเอง คิดว่าไม่ได้หรอก ไม่ส่งแล้วกัน

     ประมาณม. 3 ก็เคยไปประกวดร้องเพลงรายการหนึ่ง แล้วมีพี่จากอาร์เอสชวนให้ไปออดิชันที่ค่าย แต่ก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาอีก ตอนนั้นเหมือนจะเริ่มรู้แหละว่าเราชอบทางวงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ตอนที่ไปเล่นมิวสิกวิดีโอนั่นไปเพราะจะได้ทำอะไรในสิ่งที่เราชอบมาตลอด ซึ่งพอได้ทำจริงๆ แล้วมันสนุกมาก ซึ่งโชคดีที่พี่ๆ เขาก็ชวนไปเล่นอีก เราก็ไปด้วยความสนุก

 

 

ตอนไปประกวด The Voice Thailand มีอะไรเปลี่ยนแปลงในตัวเองไปมากขนาดไหน

     ที่เปลี่ยนไปคือวีตื่นเต้นมากขึ้น เพราะช่วงเข้ามหาวิทยาลัย ที่คณะ (คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) มีคนร้องเพลงเก่งเยอะมาก แล้วเวลามีงานร้องเพลงทีไรก็ไม่มีใครเรียกวีไปร้องเลย เลยคิดว่าหรือเราจะร้องเพลงไม่ดีนะ ก็เลยเสียความมั่นใจในการร้องเพลง ที่ไปประกวดเพราะอยากพิสูจน์ตัวเองด้วย ถ้าผ่านเข้ารอบ แปลว่าเราก็น่าจะโอเคอยู่ มันก็เลยตื่นเต้นมากขึ้นเพราะกดดันตัวเอง แต่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องประสบความสำเร็จให้ได้

     จนช่วงที่รายการออนแอร์แล้วเพิ่งรู้ว่ามีคนสนใจเยอะ พอรายการจบ ยอดฟอลโลว์ในอินสตาแกรมพุ่ง มีคนแอดไลน์มาเยอะมาก เพราะใช้ชื่อเดียวกับอินสตาแกรม แล้ววีทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับสิ่งนี้ยังไง สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนไลน์ไปเลย

 

รับมือกับความโด่งดังที่พุ่งเข้ามาตอนนั้นอย่างไร เพราะเท่าที่รู้มา วีเองก็เป็นคนที่มีพื้นส่วนตัวของตัวเองเยอะเหมือนกัน

      ตอนแรกทำตัวไม่ถูก เวลานั่งกินข้าวอยู่คนเดียวแล้วถูกจ้องก็คิดว่าต้องทำยังไงดี มีอยู่ช่วงหนึ่งที่วีไม่อยากถ่ายรูป เพราะไม่มีวันไหนที่ออกจากบ้านแล้วไม่โดนขอถ่ายรูป บางครั้งเราก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะถ่ายรูป วียังเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์ว่าวันนี้ฉันไม่สวย หรือแค่อยากเดินไปตลาดนิดเดียวแบบเงียบๆ ส่วนตัว ชีวิตแบบนั้นมันหายไปหมดเลย แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธนะคะ ยกเว้นว่าตอนนั้นจะไม่สะดวกจริงๆ

     แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง นั่งกินข้าวอยู่กับเพื่อนแล้วมีคนมาขอถ่ายรูป แล้ววีหน้าเสียประมาณว่า เอาอีกแล้ว แล้วก็บอกว่าได้ค่ะๆ พอถ่ายเสร็จ เพื่อนบอกว่า “วี แกจะเป็นแบบนี้ทำไมวะ ทำไมทำหน้าอย่างนั้น ไม่เห็นเหรอว่าเขาดีใจขนาดไหนที่เจอแก สุดท้ายแกก็ให้เขาถ่ายอยู่ดีไม่ใช่เหรอ” ก็เลยคิดได้ว่า เออ ถ้าเราไม่คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว ก็น่าจะปรับความรู้สึกดีๆ ให้เขามีความสุขที่สุด หลังจากนั้นก็เปลี่ยนทัศนคติใหม่ แล้วก็รับมือได้ดีขึ้นเยอะ

 

 

อยู่ในวงการบันเทิงมาประมาณ 3 ปี คิดว่ารับมือกับความรับผิดชอบในการทำงานที่เพิ่มขึ้นได้ดีขนาดไหน

     ไม่รู้เรียกว่าดีขึ้นไหม แต่คิดว่าวีมีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างช่วงต้นปีที่ผ่านมา วีหยุดรับงานทั้งหมดเลย เพราะรู้สึกผิดกับคนฟังที่วีไม่มีเพลงใหม่ออกมาเลย แล้วพอรับงานเยอะๆ วีไม่สามารถจดจ่อกับงานเพลงได้สักที เวลาไปโชว์ที่ไหนก็เล่นแต่เพลงเดิม มีเพลงของตัวเองจริงๆ แค่เพลงเดียว (เพลง อยากฟัง) ที่เหลือเป็นเพลงคัฟเวอร์หรือเพลงประกอบละครหมดเลย เท่ากับว่าเขาจะไม่ได้ฟังอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมเลย ก็เลยคิดว่าต้องหยุด แล้วมาทำงานเพลงอย่างเดียว

 

เกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาที่หยุดรับงานแล้วมาทำเพลงอย่างเดียว

     อยู่กับการพยายามหาว่าอะไรคือดนตรีที่เป็นของวี วิโอเลต จริงๆ ที่ผ่านมาวีร้องเพลงเยอะ มันคือเสียงของวีก็จริง แต่กับดนตรีจะเห็นว่ามันเปลี่ยนไปตลอดตามโจทย์เพลงที่ได้มา เพราะวีเป็นคนที่ปรับตัวกับอะไรง่าย เพราะฉะนั้นให้ร้องเพลงในดนตรีแบบไหนก็เอาเสียงของเราไปใส่ได้หมด แต่ก็กลายเป็นข้อเสียว่า อ้าว แล้วดนตรีแบบไหนล่ะที่เป็นดนตรีของเราจริงๆ อย่างเพลงที่แล้วที่ออกแนวโฟล์กป๊อป อันนั้นวีก็ชอบมาก เป็นตัวตนของวีในช่วงขณะนั้น แต่ก็คิดว่ามันยังไม่พอ เราน่าจะต้องมีดนตรีของตัวเองที่ชัดกว่านี้

 

ก็แค่ไม่มีฉัน เพลงนี้คิดนานขนาดไหน

     นานมากกว่าจะออกมาเป็นเพลงนี้ มันมีเวอร์ชันก่อนหน้าทั้งหมด 7 เวอร์ชันที่ดนตรีไม่เหมือนกันเลย อันนี้เป็นเวอร์ชันที่ 8 ซึ่งก็ยังแยกเป็นเดโมอีกหลายเวอร์ชันด้วยนะ (หัวเราะ) จริงๆ กำหนดเพลงนี้ต้องออกตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว แต่ก็ติดอยู่กับการคิดหาดนตรีอย่างที่บอก ช่วงแรกๆ ก็พยายามคิดทำนองขึ้นมา แล้วก็ช่วยกันทำหลายเวอร์ชัน แต่สุดท้ายไม่เวิร์ก วีก็เลยลองไปหาเพื่อนชื่อบิลลี่ (ณัฐดนัย ชูชาติ มือกีตาร์วง Tilly Birds) ที่เคยทำเพลงคัฟเวอร์ด้วยกัน คือวีมีแต่ความรู้สึก มีแต่เสียงที่อยากได้ แต่วีไม่สามารถใช้อุปกรณ์อะไรได้เลย บิลลี่ก็ช่วยเยอะมาก ช่วยคิดไลน์ดนตรีต่างๆ เพิ่มด้วย จนรู้สึกว่ามาถูกทางแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่ซะทีเดียว ก็เลยส่งไปให้พี่โหน่ง The Photo Sticker Machine (วิชญ วัฒนทรัพย์) ให้พี่เขามาช่วยโปรดิวซ์ให้จนได้เป็นเพลงเวอร์ชันนี้มา

 

 

ความรู้สึกว่าเวอร์ชันนี้ยังไม่ใช่ วีตัดสินจากอะไร

     มันเป็นเรื่องของความรู้สึกมากๆ แล้วปัญหาใหญ่คือวีเป็นนักร้องที่ไม่รู้เรื่องทฤษฎีทางดนตรีเลย วีจะรู้แค่ว่าอยากได้เสียงแบบไหน แต่ไม่สามารถพูดหรืออธิบายให้คนทำงานดนตรีเข้าใจได้ว่าไอ้เสียงอันนั้นน่ะมันคือเสียงอะไร บอกได้แค่ว่าท่อนนี้ถูก ท่อนนี้ผิด อันนี้ยังไม่ใช่วี แล้วไปบอกแบบนี้ใครเขาจะไปเข้าใจ (หัวเราะ)

     จนมีคิดเหมือนกันนะว่าเราน่าจะไปเรียนทฤษฎีพวกนี้ให้รู้เรื่องบ้าง อย่างน้อยก็เอามาบอกคนทำงานเป็นภาษาเดียวกับเขาได้ว่าสิ่งที่เราต้องการคือแบบไหน แล้วส่วนใหญ่วีจะเป็นคนที่ได้ยินเสียงเป็นภาพ เช่น วีอยากได้ความรู้สึกเหมือนมีกลิตเตอร์ค่อยๆ โรยลงมาในเพลง แต่เขาไม่ได้เห็นภาพกลิตเตอร์โรยลงมาเหมือนของวี เขาก็จะรู้สึกว่าอะไรของมึง นามธรรมมาก (หัวเราะ)

 

ความรู้สึกไหนที่ทำให้รู้สึกว่าเวอร์ชันที่ 8 นี่เวิร์กแล้ว

     ก็ความรู้สึกว่ามันใช่! เหมือนเดิมเลย (หัวเราะ) อธิบายไม่ได้อยู่ดีว่ามันใช่เพราะอะไร รู้แค่ว่าชอบเวอร์ชันนี้มาก แล้วพอเพลงเสร็จก็ต้องเขียนบอกว่าแนวเพลงของเราคือแนวอะไร ก็ยังไม่มีคำจำกัดความชัดๆ ให้เพลงนี้ได้อยู่ดีนะ แต่ก็ยืนพื้นไว้ก่อนว่าเป็นเพลงป๊อป น่าจะใกล้เคียงที่สุด เคยคิดเหมือนกันนะ ถ้าเราเขียนว่าเป็นดนตรีแนว ‘วี’ ไปเลยได้ไหม (หัวเราะ)

 

เคยหงุดหงิดบ้างไหมที่ต้องเปลี่ยนเพลงไปถึง 8 เวอร์ชัน

     เคย ท้อเลยเหมือนกันนะ เพราะจริงๆ วีอยากทำเพลงสากลเลยด้วยซ้ำ แต่ค่ายอยากให้ทำเพลงภาษาไทยก่อน แล้วพอทำไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่ได้สักที ค่ายเคยถามด้วยนะว่าข้ามเพลงนี้แล้วไปทำเพลงสากลเลยไหม ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เราต้องการมาตลอด แต่พอเริ่มมาแล้วก็กลายเป็นอีโก้ของตัวเองที่เราจะไม่ยอมทิ้งมันไปง่ายๆ ก็เลยต่อสู้กับเพลงนี้จนจบ

 

 

แสดงว่าตอนนี้ก็เริ่มลุยทำเพลงสากลของตัวเองเต็มตัวแล้ว

     ตอนนี้ก็เริ่มทำไปแล้ว เป็นอีพีอัลบั้มที่มี 4 เพลง วีแต่งเนื้อกับทำนองเองทั้งหมด กำหนดการคือต้องได้ฟังในเดือนกันยายนปีนี้ ซึ่งก็ยังคิดอยู่ว่าจะทันไหมเนี่ย (หัวเราะ) แต่คิดว่าน่าจะทำง่ายขึ้น เพราะเหมือนเราค่อยๆ งมจนเจอลายเซ็นแรกของเราแล้วในเพลงนี้

 

พาร์ตเรื่องเนื้อเพลงมีปัญหาเยอะเหมือนกับพาร์ตดนตรีหรือเปล่า

     ไม่ค่อยมี เพลง ก็แค่ไม่มีฉัน พอเราได้ไอเดียว่าอยากพูดถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเกินไป อย่างคนเป็นแฟนกันก็จะมีเวลางี่เง่า คอยถาม คอยตามอีกคนตลอดว่าจะไปไหน ทำอะไร อยู่กับใคร แล้วมันน่าหงุดหงิดมาก วีไม่ชอบความรู้สึกอย่างนั้น ไม่ชอบความสัมพันธ์ที่มีใครบ้างคนต้องจู้จี้และแสดงความเป็นเจ้าของกัน วีไม่อยากอยู่ใต้กฎนี้ แล้วก็บอกว่าฉันจะไม่อยู่ในกฎนี้ของพวกเธอนะ

     พอไอเดียมันชัด การเขียนเนื้อก็เลยไม่ยากมาก วีเริ่มเขียนเวิร์ส 2 ท่อนแรกมาก่อน แต่ไม่รู้ว่าท่อนพรีฮุกกับฮุกควรจะเป็นแบบไหน ก็เลยมาให้พี่เย่ (จักรพันธ์ บุณยะมัต นักร้องนำวง Slur) กับพี่บิว (รังสรรค์ ปัญญาใจ นักร้องนำวง Lemon Soup) มาช่วยคิดให้แล้วก็เขียนกันตรงนั้นเลย ถือว่าง่ายกว่าพาร์ตดนตรีเยอะมาก

 

ดูเป็นเพลงที่วีมีส่วนร่วมในการทำเพลงทุกขั้นตอนเลย

     ใช่ แทบทุกขั้นตอนเลย เพลงนี้เลยกลายเป็นเพลงที่มีตัวตนของวีอยู่ในนั้นมากที่สุดตั้งแต่เคยมีผลงานมาเลย แทบจะเรียกว่า 100 เปอร์เซ็นต์เลยก็ได้

 

     ติดตามฟังเพลง ก็แค่ไม่มีฉัน  ซิงเกิลใหม่ล่าสุดของ วี-วิโอเลต วอเทียร์ ได้ itunes.apple.com

FYI
  • นอกจากอัลบั้มเพลงสากล เป้าหมายต่อไปที่วีอยากทำให้ได้คือเรียนกีตาร์ให้เก่งพอที่จะเอาขึ้นไปใช้บนคอนเสิร์ตได้ ตอนนี้เธอกำลังพยายามอยู่ หวังว่าจะได้เห็นภาพนั้นกันในเร็วๆ นี้
  • เมื่อก่อนวีมีนิสัยใช้การแต่งเพลงแทนการเขียนไดอารีเพื่อบันทึกเรื่องราวในช่วงนั้นๆ โดยเฉพาะเวลาที่โกรธใครมากๆ แต่ทำอะไรไม่ได้ ก็จะเอาอารมณ์นั้นมาลงที่เนื้อเพลงแทน
  • กดลิงก์นี้เพื่อรับชมผลงานมิวสิกวิดีโอตัวแรกของวี วิโอเลต เพลง หายใจออกก็เหงา หายใจเข้าก็คิดถึง 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X