จากสภาวการณ์ต่างๆ ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแพร่ระบาด หรือเรื่องของสถานการณ์ทางการเมือง ทำให้นักลงทุนหลายท่านต่างก็ลังเลที่จะลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น วันนี้เรามาพิจารณากันครับว่าเราควรจะลงทุนต่อหรือพอก่อน เพราะอะไร
แม้มีการประกาศผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์นับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ผ่านจุดสูงสุด นอกจากนี้ รัฐบาลยังตั้งใจที่จะเปิดเมืองในช่วงเดือนตุลาคมนี้ เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ดำเนินอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่เป็นตัวแปรสำคัญต่อการเปิดเมืองในเดือนตุลาคม คือ การฉีดวัคซีนภายในประเทศให้กับประชากรจำนวนมากและรวดเร็วเพียงพอเพื่อป้องกันการติดเชื้อ โดยเฉพาะจังหวัดในพื้นที่สีแดงเข้ม และจากตัวเลขการฉีดวัคซีนทั้งหมด 37.5 ล้านโดสเมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา รวมถึงแผนการนำเข้าวัคซีนในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2564 จำนวน 70 ล้านโดส โดยแบ่งเป็นนำเข้าจำนวน 36 ล้านโดสในเดือนกันยายน-ตุลาคม และจำนวน 34 ล้านโดสในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ซึ่งเมื่อเทียบกับศักยภาพของการฉีดวัคซีนของบุคลากรทางการแพทย์ของไทยในระดับ 15-20 ล้านโดสต่อเดือนแล้วนั้น จะพบว่าสิ้นเดือนตุลาคม ประชากรภายในประเทศจะได้รับการฉีดวัคซีนเป็นจำนวนถึง 70 ล้านโดส
ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงเวลาดังกล่าว ประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดสีแดงเข้มจะได้รับวัคซีน 2 เข็ม มากกว่า 70% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม และภายในสิ้นปีจะได้รับวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส ซึ่งเทียบเท่ากับประชากร 50 ล้านคน หรือ 70% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่สามารถเปิดประเทศได้อย่างมั่นใจ อย่างไรก็ตาม ควรต้องมีมาตรการควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นระยะๆ เพราะถ้าจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มจำนวนขึ้น อาจจะสร้างผลกระทบต่อการเปิดเมืองได้
สำหรับการระดมฉีดวัคซีนให้กับประชากรในประเทศรวมถึงการเปิดเมือง จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย กล่าวคือ ในกรณีที่การเปิดเมืองเป็นไปตามแผนการที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ จะทำให้กลุ่มการลงทุน เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มธนาคาร กลุ่มการเงิน และกลุ่มขนส่ง ได้รับประโยชน์จากการเปิดเมืองในครั้งนี้ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่คาดว่าจะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาสที่ 4 เป็นต้นไป
ประกอบกับการเติบโตของเศรษฐกิจในต่างประเทศที่จะเป็นตัวสนับสนุนต่อภาคการส่งออกของประเทศไทย นับว่าเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยยิ่งขึ้น ซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นไทยอาจปรับตัวขึ้นไปในระดับ 1,680 จุดในช่วงไตรมาส 4/64-1/65
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนควรจับตา ได้แก่ การปรับลด QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และเสถียรภาพทางการเมืองที่มีความไม่แน่นอนยิ่งขึ้น รวมถึงไวรัสกลายพันธุ์ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีน ซึ่งส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในการเปิดเมืองในช่วงเดือนตุลาคมได้
ดังนั้น นักลงทุนอาจปรับพอร์ตการลงทุน จะเป็นการผสมผสานหุ้นที่มีการเติบโตอย่างคงที่ และกำไรบริษัทไม่ผันผวนกับการเปิดหรือปิดเมือง รวมถึงกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากการเปิดเมือง ซึ่งประกอบกับการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มนี้ จึงนับว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสมกับการทยอยสะสมหุ้นกลุ่มดังกล่าวที่จะได้ประประโยชน์จากการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนในระดับสูงในระยะ 6 เดือนขึ้นไป
สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนหุ้นไทยนั้น บลจ.ไทยพาณิชย์ ขอนำเสนอกองทุน 5 ดาว ประเภท Thailand Fund Equity Large-Cap ของมอร์นิ่งสตาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564) ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ซีเล็คท์อิควิตี้ ฟันด์ (SCB Selects Equity Fund: SCBSE) กองทุนมีกลยุทธ์การลงทุนด้วยวิธี Active Approach ด้วยการคัดเลือกลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด และสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนในขณะนั้น ซึ่งจะใส่น้ำหนักการลงทุนมาก-น้อยตามความน่าสนใจของหุ้นนั้น และกองทุนจะลงทุนในหุ้นไม่เกิน 30 ตัว จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงในระดับสูง