แม้ SET Index ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 21 กรกฎาคม จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.03% แต่เมื่อติดตามข้อมูลการซื้อขายของนักลงทุนแต่ละประเภทแล้ว พบว่านักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นฝ่ายขายสุทธิเกือบทุกเดือน โดย 6 เดือนแรกปีนี้ สถาบันในประเทศขายสุทธิถึง 4 เดือน และซื้อสุทธิเพียง 2 เดือนเท่านั้น โดยรวม 6 เดือนครึ่ง (ต้นปี-21 กรกฎาคม) สถาบันในประเทศขายสุทธิหุ้นไทย รวม 49,321.59 ล้านบาท
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ และหัวหน้าสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แรงขายจากนักลงทุนสถาบันในประเทศช่วงนี้ค่อนข้างมาก สะท้อนถึงความเสี่ยงขาลง (Downside Risk) ที่เพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะความเสี่ยงจากการรับมือกับโควิดและมาตรการเยียวยาด้านเศรษฐกิจ ที่ทำให้ Downside Risk ต่อ GDP และกำไร บจ. เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ประเมินแนวโน้มว่าสถาบันในประเทศจะเป็นฝ่ายขายสุทธิหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องเพื่อถือเงินสด และรอดูว่าหุ้นไทยจะแตะจุดต่ำสุดที่เท่าไร จากนั้นจึงจะกลับเข้าซื้อสุทธิหุ้นไทยอีกรอบ
“ตอนนี้ทุกคนกำลังมองอยู่ว่าจุดต่ำสุดของดัชนีอยู่ตรงไหน และเมื่อเห็นจังหวะก็จะกลับเข้าซื้อหุ้นไทยอีกครั้ง ซึ่งประเมินว่าจุดต่ำสุดรอบนี้น่าจะอยู่ที่ 1,510 จุด นอกจากนี้แรงขายของสถาบันในประเทศยังมีส่วนของกองทุน LTF ที่ครบกำหนดและผู้ถือหน่วยสั่งขายรวมอยู่ด้วย”
ประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ กล่าวว่า นโยบายลงทุนของสถาบันในประเทศปีนี้มีสัดส่วนลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่มากนัก โดยอิงจากทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมและกำไรภาคธุรกิจ จะพบว่าหุ้นต่างประเทศให้โอกาสรับผลตอบแทนมากกว่าหุ้นไทย จึงเกิดแรงขายจากสถาบันในประเทศอยู่เรื่อยๆ
นอกจากนี้ยังมีแรงขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนดเข้ามาด้วย โดยจากการติดตามข้อมูลพบว่ามีกองทุน LTF ที่ครบกำหนดและคงค้างอยู่ราว 80,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนนี้ก็พร้อมจะเทขายออกมาหากว่าตลาดหุ้นไทยโดยรวมให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่นหรือสินทรัพย์อื่น
“สังเกตุได้ว่าแรงขายส่วนใหญ่คือแรงขายหุ้นบิ๊กแคป ซึ่งเป็นหุ้นที่กองทุนหุ้นต่างๆ ต้องถือครองไว้ กองทุน LTF ก็เช่นกัน เมื่อผู้ถือหน่วยลงทุนที่ครบกำหนดเห็นโอกาสในสินทรัพย์อื่นหรือตลาดหุ้นมากกว่าก็สั่งขายเป็นปกติ”
ส่วนสถาบันในประเทศจะกลับเข้าซื้อหุ้นอีกเมื่อไร คงต้องรอให้สถานการณ์โควิดในประเทศคลี่คลาย หรือมาตรการเยียวยาต่างๆ มีความชัดเจนแก่ทุกฝ่าย และเมื่อปัจจัยต่างๆ นิ่งแล้ว ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทยก็จะฟื้น และจะเริ่มเห็นการเข้าลงทุนอีกครั้ง
ภาพประกอบ: ฉัตรชัย เฉยชิต
