องค์การอนามัยโลก (WHO) เผยแพร่รายงานความคืบหน้าสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 เมื่อวานนี้ (15 มิถุนายน) ยืนยันว่า พบกรณีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย หรือที่รู้จักในชื่อสายพันธุ์เดลตา (Delta) หรือ B.1.617.2 แล้ว ใน 80 ประเทศเขตแดนและพื้นที่ทั่วโลก ซึ่งเพิ่มจากสัปดาห์ที่แล้วถึง 6 แห่ง และเพิ่มจากเดือนก่อนหน้าถึง 2 เท่า ในจำนวนนี้รวมทั้งจีน สหรัฐฯ และประเทศในแถบแอฟริกา สแกนดิเนเวีย รวมถึงประเทศแถบมหาสมุทรแปซิฟิกและประเทศไทย
โดยที่ผ่านมาผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ซึ่งตรวจพบครั้งแรกในอินเดีย สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วมากกว่าสายพันธุ์อัลฟา (Alpha) ที่พบในอังกฤษถึง 40% อีกทั้งยังก่อให้เกิดอาการป่วยที่ร้ายแรงกว่าและอาจทำให้วัคซีนและยารักษา รวมถึงวิธีการตรวจเชื้อที่มีอยู่ในปัจจุบันได้ผลน้อยลง
ขณะที่ก่อนหน้านี้ WHO ประกาศให้ไวรัสสายพันธุ์เดลตา เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล ซึ่งล่าสุด ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาด (CDC) ของสหรัฐฯ ก็ระบุให้ไวรัสสายพันธุ์เดลตาเป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวลเช่นกัน โดยจากการตรวจสอบสถานการณ์ระบาดในสหรัฐฯ จนถึง 13 มิถุนายนที่ผ่านมา พบว่า 10.3% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมดเป็นเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา
ซึ่งนอกจากนี้ WHO ยังรายงานถึงกรณีการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อื่นๆ ทั่วโลก โดยสายพันธุ์อัลฟาจากอังกฤษ พบแล้วใน 164 ประเทศและเขตแดน ส่วนสายพันธุ์บีตา (Beta) จากแอฟริกาใต้ พบใน 115 ประเทศ ขณะที่สายพันธุ์แกมมา (Gamma) จากบราซิล พบใน 68 ประเทศ
ภาพ: Photo by Fariha Farooqui/Getty Images
พิสูจน์อักษร: นัฐฐา สอนกลิ่น
อ้างอิง:
