วันนี้ (6 มิถุนายน) พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา โฆษกพรรค แถลงข่าวท่าทีและจุดยืนต่อการอภิปราย พ.ร.ก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ที่จะมีการบรรจุวาระเข้าที่ประชุมสภาในวันที่ 9 มิถุนายนนี้
พิจารณ์กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องขอบคุณพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนที่ให้ความสนใจ ติดตามการทำงาน ตรวจสอบ และอภิปรายการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ในวาระที่ 1 ที่ผ่านมาของ ส.ส. พรรคก้าวไกล จากการประเมินจากสถิติไม่ว่าทั้งโซเชียลมีเดียและยอดการขายของที่ระลึกของพรรคพบว่า เพิ่มสูงขึ้นเป็นพิเศษในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความพึงพอใจของพี่น้องประชาชนในการทำงานของพวกเรา ขอให้คำยืนยันอีกครั้งว่าพรรคก้าวไกลจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีความเปราะบาง กลุ่มคนตัวเล็กตัวน้อยในสังคม ที่เป็นคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้
“ในส่วนของการลงมติร่าง พ.ร.บ. งบฯ 65 ที่ผ่านมา ต้องเรียนว่าผิดหวังกับผลที่ออกมา แต่ไม่ได้เหนือความคาดหมาย แม้เราจะได้ยินการอภิปรายแสดงความไม่เห็นด้วยมากมายของพรรคร่วมรัฐบาล การแสดงความไม่พอใจที่ไม่ได้รับการให้เกียรติหรือความร่วมไม้ร่วมมือในการทำงาน แต่สุดท้ายการลงมติก็เป็นไปอย่างที่คาดเอาไว้ อย่างไรก็ตาม คิดว่าสิ่งที่ประชาชนได้รับจากการประชุม 3 วัน 3 คืน ที่ผ่านมาคือการได้เห็นว่าสิ่งที่พรรคฝ่ายรัฐบาลได้หาเสียงเอาไว้ ซึ่งถึงวันนี้ผ่านมาแล้ว 2 ปีงบประมาณ กำลังจะเข้าสู่ปีงบประมาณที่ 3 ในเดือนตุลาคมนี้ ยังมีเรื่องที่ยังไม่ได้ทำเป็นจำนวนมาก”
พิจารณ์กล่าวต่อไปว่า โดยเฉพาะการอภิปรายของ วรรณวิภา ไม้สน ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จากสัดส่วนแรงงาน ต้องบอกว่า เป็นการอภิปรายที่ทรงพลังและสื่อสารเพื่อผู้ใช้แรงงานรวมถึงคนตัวเล็กตัวน้อยของสังคมไทยจริงๆ ไม่ว่าจะเรื่องเป็นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่พรรคพลังประชารัฐหาเสียงเอาไว้ว่าจะจ่ายที่เดือนละ 1,000 บาท เงินเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดที่เคยได้ยินช่วงหาเสียงไม่ว่าจะเป็น ‘โครงการมารดาประชารัฐ’ หรือ ‘โครงการเกิดปั๊บรับแสน’ โดยสัญญาว่าจะจ่ายเงินถ้วนหน้า แต่จนบัดนี้ก็ยังจัดสรรงบประมาณให้ไม่ถ้วนหน้าเสียที การจัดสรรงบประมาณคือการสะท้อนเจตจำนง สะท้อนแผนงานปี 2565 ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องใดก่อนหลัง ซึ่งคงเห็นกันแล้วว่าเขาเลือกสวัสดิภาพความมั่นคงในชีวิตประชาชนหรือความมั่นคงทางการทหารกันแน่
ในส่วนการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการงบประมาณฯ พรรคก้าวไกลมีตัวแทนนำโดยหัวหน้าพรรค พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งจะดูแลในภาพรวมของการพิจารณางบประมาณ ศิริกัญญา ตันสกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจการคลังและการจัดทำงบประมาณ วรรณวิภา ไม้สน ตัวแทนพรรคก้าวไกลปีกแรงงานที่จะมาต่อสู้เพื่องบสวัสดิการต่างๆ ของประชาชนและพี่น้องแรงงานที่ถูกตัดไป วรรณวรี ตะล่อมสิน ตัวแทนจาก ส.ส. กรุงเทพมหานคร ที่จะมาเป็นปากเป็นเสียงให้กับนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ SMEs ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ตัวแทนผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดิจิทัล วาโย อัศวรุ่งเรือง ตัวแทนจากวงการแพทย์ที่จะมาร่วมพิจารณางบประมาณด้านสาธารณสุขที่ถูกตัดไประหว่างประเทศอยู่ในวิกฤตโควิด-19
“คณะกรรมาธิการในส่วนของพรรคก้าวไกลจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีการจัดลำดับความสำคัญของงบประมาณฉบับนี้ใหม่ เราจะกางงบประมาณที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนสอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมืองออกมาเพื่อรีดไขมัน ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการใช้จ่ายงบประมาณ ราคาที่ใช้ในการจัดซื้อ ใบเสนอราคาต่างๆ ความซ้ำซ้อนของโครงการ ความสามารถในการเบิกจ่าย การใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ และที่สำคัญคือโครงการใดที่ไม่มีความเหมาะสมในช่วงเวลานี้ต้องถูกตัดออก โดยเราจะพยายามให้การตัดงบประมาณในปีนี้เป็นไปตามรายโครงการมากกว่าตัดเป็นเปอร์เซ็นต์ แล้วให้หน่วยรับงบประมาณไปเลือกตัดเงินจากโครงการด้วยตัวเอง เพราะในปีงบประมาณก่อนที่ใช้การตัดเปอร์เซ็นต์กลับกลายเป็นปัญหาว่าหน่วยงานรับงบกลับไปตัดในโครงการที่เป็นประโยชน์ออกแทน นำไปสู่ผลกระทบต่อประชาชน”
สำหรับประเด็นต่อมา พิจารณ์กล่าวถึงความพร้อมในการพิจารณาพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 5 แสนล้านบาท โดยพรรคก้าวไกลเห็นว่า จากการบริหารจัดการเงินกู้ 1 ล้านล้านบาทที่ผ่านมามีความล้มเหลวอย่างมาก ทั้งในส่วนงบประมาณด้านสาธารณสุขที่เบิกจ่ายได้ล่าช้า งบฯ ด้านการฟื้นฟูประเทศที่ไม่สามารถรักษาระดับการจ้างงานและพยุง GDP ได้ ผู้ประกอบการ SMEs รายย่อย โดยเฉพาะในกลุ่มท่องเที่ยว ต้องปิดตัวลงมากมายโดยที่ไม่ได้รับการเยียวยา
“การอนุมัติกู้เงิน 5 แสนล้านในครั้งนี้จะเป็นเพียงแค่การให้โอกาสและต่ออายุรัฐบาลนี้ออกไปเท่านั้น เราไม่สามารถที่จะยอมตีเช็คเปล่าให้ พล.อ. ประยุทธ์ อีก 5 แสนล้านได้อีกแล้ว หากรัฐบาลนี้จะยังคงบริหารต่อไป เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าในงบประมาณปี 2566 รัฐบาลก็ยังจะต้องออก พ.ร.ก. เพื่อขอกู้เงินอีกแน่นอน ภาระก็จะตกกับพี่น้องประชาชนต่อไป สำหรับการพิจารณา พ.ร.ก. 5 แสนล้านฉบับนี้ ทางพรรคได้เตรียมผู้อภิปรายไว้ทั้งสิ้น 11 คน ภายในกรอบเวลาที่พรรคได้รับ 125 นาที จะเปิดการอภิปรายโดย ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ โฆษกพรรคก้าวไกล และ ส.ส. ขวัญใจของพี่น้องชาวบางขุนเทียน และจะปิดท้ายด้วยหัวหน้าพรรคเป็นผู้สรุปภาพรวม ขอให้พี่น้องสื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนติดตามการตรวจสอบของพรรคก้าวไกลในวันพุธที่ 9 มิถุนายนนี้ อย่างใกล้ชิด” รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าว
ขณะที่สุทธวรรณแถลงถึงการบริหารวัคซีนของรัฐบาลที่ล้มเหลวว่า ส่งผลให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วประเทศต้องส่งข้อความเลื่อนนัดการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน เนื่องจากไม่มีวัคซีนสำหรับฉีดให้ประชาชน ขณะที่ก่อนหน้านั้นกระทรวงสาธารณสุขออกมายืนยันว่า ทุกจังหวัดจะมีวัคซีนโควิด-19 ฉีดพร้อมกันทุกพื้นที่ในวันที่ 7 มิถุนายน 2564 อย่างแน่นอนตามแผน
“ขอยืนยันว่า ดิฉันได้รับแจ้งจากพี่น้องประชาชนในจังหวัดนครปฐมและประชาชนในอีกหลายๆ จังหวัดว่า การฉีดวัคซีนของพวกเขาที่ได้นัดไว้ในวันที่ 8-10 มิถุนายน และวันอื่นๆ หลังจากนั้น ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะโรงพยาบาลได้รับการจัดสรรวัคซีน AstraZeneca มาอย่างจำกัด ทำให้สามารถฉีดได้แค่วันที่ 7 มิถุนายนเพียงวันเดียว ในฐานะที่เป็น ส.ส. นครปฐม จึงขอกล่าวถึงการบริหารจัดการวัคซีนในจังหวัดนครปฐม ซึ่งได้รับการจัดสรรวัคซีนล็อตแรกจำนวน 12,020 โดส โดยแบ่งเป็น AstraZeneca 7,500 โดส และ Sinovac 4,520 โดส
“เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก, คณะแพทยศาสตรศิริราชพยาบาล, โรงพยาบาลพุทธมณฑล, โรงพยาบาลบางเลน, โรงพยาบาลดอนตูม, โรงพยาบาลสามพราน, โรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น ประกาศเลื่อนการฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายนออกไปไม่มีกำหนด เพราะมีวัคซีนเพียงพอสำหรับการฉีดแค่วันเดียว โรงพยาบาลนครปฐม, โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์, โรงพยาบาลนครชัยศรี, โรงพยาบาลกำแพงแสน ประกาศเลื่อนการฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายนออกไปไม่มีกำหนด มีวัคซีนสำหรับฉีดแค่ 2 วัน สำหรับผู้ที่จองไว้ในวันที่ 7 และ 8 มิถุนายน และโรงพยาบาลที่เหลือในนครปฐมก็เลื่อนแทบทั้งสิ้น เช่น โรงพยาบาลห้วยพลู, โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนนครปฐม, โรงพยาบาลกรุงเทพสนามจันทร์, โรงพยาบาลเทพากร โดยสองโรงพยาบาลล่าสุดที่พูดถึงได้ AstraZeneca มาแค่ขวดสองขวดเท่านั้น โรงพยาบาลกรุงเทพสนามจันทร์มี AstraZeneca 10 โดส โรงพยาบาลเทพากรมี AstraZeneca 20 โดส”
สุทธวรรณระบุว่า เมื่อลองไปตรวจสอบเทียบกับในจังหวัดอื่นก็ประสบปัญหาแบบเดียวกันหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลเชียงใหม่ราม, โรงพยาบาลสันป่าตอง, โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา, โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา, โรงพยาบาลวัฒนาอุดรธานี, โรงพยาบาลสระบุรี ซึ่งได้รับการจัดสรรวัคซีนมาไม่เพียงพอ ฉีดได้แค่วันเดียว จนต้องเลื่อนการนัดหมายออกไป
“นี่เป็นตัวอย่างเพียงไม่กี่ที่เท่านั้น ยังมีอีกหลายที่ที่ประสบปัญหาวัคซีนไม่เพียงพอ แต่ก็มีบางแห่งที่ตอนแรกเลื่อนนัดฉีดวัคซีนไปแล้ว โดยแจ้งว่าราชการเลื่อนการส่งวัคซีนออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่พอวันถัดมาก็ประกาศใหม่ว่าสามารถฉีดได้ตามกำหนดเดิม สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการสร้างความสับสนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก ท่านเปิดให้ประชาชนทุกจังหวัดลงทะเบียนจองฉีดวัคซีน โดยเลือกวันที่ต้องการ ตอนจองก็จองยากลำบาก แต่พอจองได้แล้ว เมื่อใกล้ๆ ถึงเวลาฉีด กลับถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ประชาชนจองวัคซีนผ่านหมอพร้อมตามที่รัฐบาลบอกทุกอย่าง แต่หลายๆ แห่งก็ไม่ได้รับวัคซีน ท่านคิดหรือไม่ว่าประชาชนจะรู้สึกอย่างไร เขาที่รอการฉีดวัคซีนอย่างมีความหวัง แต่ก็ยังถูกปล่อยให้รอต่อไปเรื่อยๆ”
สุทธวรรณกล่าวอีกว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในวันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน ภายหลังการรับมอบ AstraZeneca โดยยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่มีการเลื่อนฉีดวัคซีนและไม่เคยคิดที่จะเลื่อน แต่สิ่งอนุทินไม่ได้บอกก็คือหลังวันที่ 7 มิถุนายนหลายแห่งวัคซีนจะไม่พอ เป็นเรื่องจริงที่สามารถ Kick Off วันที่ 7 มิถุนายนตามกำหนดเดิมได้ แต่ก็ฉีดได้แค่วันสองวันเท่านั้น ผู้สูงอายุและประชาชนที่มีโรคประจำตัวอีกเป็นจำนวนมากก็ต้องรอไปอีก เป็นการทำงานแบบผักชีโรยหน้า เล่นใหญ่แต่ไม่มีความชัดเจน
“สรุปแล้ววัคซีนที่มาเป็นวัคซีนป้องกันโควิด-19 หรือวัคซีนป้องกันคนด่า จะมาฉีดวัคซีนเอาฤกษ์เอาชัยตามกำหนดเดิมแล้วหยุดฉีดไม่ได้ เพราะประชาชนคาดหวังว่าหลังวันที่ 7 มิถุนายน จะได้ฉีดวัคซีนต่อเนื่องไปทุกวัน ไม่ใช่วันเดียวตามที่หลายโรงพยาบาลประกาศออกมาแบบนี้ และกรณี สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยังออกมาบอกว่าขอให้ทุกโรงพยาบาลทำตามมติของกระทรวงสาธารณสุข โดยไม่มีการยกเลิกหรือปรับเปลี่ยนแผนการฉีดใดๆ หากจังหวัดหรือโรงพยาบาลใดยังมีการยกเลิกหรือแจ้งเลื่อน ขอให้จังหวัดหรือโรงพยาบาลนั้นๆ รวมทั้งกรรมการควบคุมโรคติดต่อประจำจังหวัด เป็นผู้ตอบคำถามและชี้แจงเหตุผลดังกล่าวด้วย การสั่งแบบนี้ถือเป็นการปัดความรับผิดชอบ
“รัฐบาลต้องพูดความจริงว่าตอนนี้มีปัญหาอะไร ติดขัดที่ตรงไหน ที่บอกว่าจะทยอยจัดส่งวัคซีนทุกสัปดาห์ แปลว่าต้องมีวัคซีนที่เพียงพอที่จะให้บริการประชาชน 7 วัน ไม่ใช่ฉีด 1 วัน แล้วหยุดไป 6 วัน ไม่อย่างนั้นแล้วตอนเปิดให้ลงทะเบียนจะให้คนมาจองได้ทุกวันทำไม หลอกให้พวกเขามีความหวังทำไม ประชาชนเลือกวันลงทะเบียนและทำตามขั้นตอนทุกอย่างในช่องทางที่รัฐจัดให้ หากท่านรู้ว่าวัคซีนไม่พอตั้งแต่แรกทำไมยังประกาศว่าพร้อมฉีด ไม่เลื่อนแน่นอน ตอนที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันหมอพร้อม ส่วนตัวเชื่อว่าหมอพร้อมแน่ บุคลากรทางการแพทย์พร้อมปฏิบัติ แต่คนที่ไม่พร้อมคือรัฐบาลเอง ดิฉันเห็นใจบุคลากรทางการแพทย์เป็นอย่างยิ่งที่เจ้ากระทรวงเปลี่ยนนโยบายรายวันเช่นนี้” สุทธวรรณกล่าว พร้อมจี้ว่า จากนี้ไปรัฐบาลจะต้องเปิดเผยแผนการกระจายวัคซีนทั้ง Sinovac และ AstraZeneca ให้ประชาชนรับรู้ด้วย ไม่ใช่ให้ประชาชนรอหรือจะเลื่อนอย่างไม่มีเหตุผลยังไงก็ได้ อย่าเห็นชีวิตของประชาชนเป็นของเล่น แผนการกระจายวัคซีนไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ก็ต้องยอมรับมาตรงๆ