จากกรณีการหายตัวไปของ ‘น้องชมพู่’ หรือ ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา วัย 3 ขวบ ซึ่งหายตัวไปจากบ้านพักในหมู่บ้านกกกอก ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 ก่อนถูกพบเสียชีวิตอยู่บริเวณเขาภูเหล็กไฟ บ้านกกกอก ห่างจากบ้านพักประมาณ 5 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 เวลาผ่านไปนานกว่า 1 ปี ตำรวจยังไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดมานำเนินคดีได้ นั้น
ล่าสุด วันนี้ (1 มิถุนายน) ศาลจังหวัดมุกดาหาร ได้อนุมัติหมายจับ ไชย์พล วิภา หรือลุงพล ตามเลขหมายจับที่ 53/2564 ลงวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ใน 3 ข้อหา
- พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร
- ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกิน 9 ปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย
- กระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
สำหรับหลักฐานในการออกหมายจับครั้งนี้คือหลักฐานบริเวณจุดพบศพ ได้แก่ กางเกง รองเท้า เส้นขนจำนวน 3 เส้น ที่ตรวจดีเอ็นเอจนสามารถระบุได้แล้วว่าเป็นของใคร รวมถึงเส้นผมน้องชมพู่ที่ถูกสับ 36 เส้น และคำให้การของพยานแวดล้อมทั้งหมด และผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่ชี้ชัดว่ามีความเชื่อมโยงกับลุงพล
ขณะที่ปรากฏการณ์คดีลุงพล ได้กลายเป็นคำถามใหญ่ของสังคมที่มีต่อวงการสื่อมวลชน ถึงการประกอบสร้างตัวตนของลุงพลขึ้นมา จากผู้ต้องหากลายเป็นคนดัง สารพัดบุคคลที่มีชื่อเสียงเข้าไปเกี่ยวเนื่อง จนถูกตั้งคำถามเช่นกันว่า เป็นเรื่องของผลประโยชน์หรือไม่
ประเด็นของลุงพล และการนำเสนอข่าวที่ให้น้ำหนักอย่างมากต่อเเง่มุมชีวิต หรือการขยับเคลื่อนไหวของครอบครัวลุงพล จนกลายเป็นกระแสทั้งในแง่บวกและลบ กลายเป็นบูมเมอแรงที่สะท้อนกลับมาหาสื่อ ถึงการนำเสนอข่าว และการให้คุณค่า ว่านี่คือความบิดเบี้ยว เพราะหวังเพียงเรตติ้งหรือกระแส โดยไม่สนประโยชน์สาธารณะที่ประชาชนควรได้รับหรือไม่
หลังมีสื่อหลายสำนักนำเสนอข่าวการออกหมายจับ พบว่าโลกออนไลน์ส่วนหนึ่งได้ตั้งคำถามต่อจังหวะการดำเนินคดี ว่ามีเป้าประสงค์เพื่อกลบกระแสข่าวอื่นหรือไม่ตามมาเช่นกัน
จะอย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าปรากฏการณ์ลุงพล ได้สร้างพื้นที่ในการถกเถียงหลายเรื่อง ทั้งสื่อ กระบวนการยุติธรรม รวมถึงภาพสะท้อนสังคมต่อความสนใจที่มีต่อลุงพลไปพร้อมกันด้วย
หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติม THE STANDARD จะรายงานให้ทราบต่อไป