×

กองทุนภายใต้ BlackRock ขยับพอร์ตครั้งใหญ่ เทหุ้นเทคโนโลยี หันซื้อหุ้นการเงิน

30.05.2021
  • LOADING...
BlackRock

เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานเกี่ยวกับการปรับพอร์ตของหนึ่งในกองทุน ETF ขนาดใหญ่รายใหญ่แห่งหนึ่งของโลกคือ กองทุน BlackRock iShare MSCI USA momentum factor ETF (MTUM) ภายใต้การบริหารงานของ BlackRock ซึ่งกองทุนนี้มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 4.96 แสนล้านบาท 

 

ข้อมูลจาก Bloomberg, MSCI และ Wells Fargo ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในครั้งนี้เป็นการปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มการเงิน ซึ่งมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจาก 1.6% เป็น 33.4% ขณะเดียวกันได้ลดสัดส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจาก 40.3% มาเหลือเพียง 17.1% 

 

นอกจากนี้กองทุนยังได้เพิ่มน้ำหนักในหุ้น Value อย่างกลุ่มอุตสาหกรรม จาก 8.6% เป็น 14.3% รวมถึงเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน 2% จากเดิมที่ไม่มีน้ำหนักในกลุ่มนี้อยู่เลย 

 

BlackRock portfolio

 

สรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า เทรนด์การสลับกลุ่มลงทุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมาเป็นหุ้นกลุ่ม Value เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปลายปีก่อน ต่อเนื่องมาจนถึงต้นปีนี้ ซึ่งปัจจัยสำคัญเกิดจากการที่ Bond Yield ปรับตัวขึ้น และจะกระทบกับหุ้นที่มีมูลค่าสูงอย่างกลุ่มเทคโนโลยี 

 

“ภาพของการลงทุนน่าจะยังเป็นไปในลักษณะนี้ต่อเนื่องจนถึงครึ่งปีหลัง ทำให้กลุ่มหุ้นอย่างธนาคาร การเงิน และวัสดุก่อสร้าง จะยังคงน่าสนใจ ในขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังไม่น่าจะฟื้นกลับมาได้ จนกว่าตลาดจะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะ Risk Off และ Bond Yield ปรับลงแรงไปอยู่ที่ราว 1.2-1.3% อีกครั้ง” 

 

แรงขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นหนักๆ แบบช่วงที่ผ่านมา แต่คงตอบไม่ได้ว่าแรงขายจะหมดไปแล้วหรือยัง ทั้งนี้ การที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะฟื้นกลับมาได้ในระยะสั้น ตลาดคงต้องกลับมาเป็นภาวะ Risk Off ซึ่งการจะเกิดเช่นนั้นอาจจะต้องมีสาเหตุ เช่น วัคซีนป้องกันโควิด-19 ล้มเหลว 

 

“ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับขึ้นมา 200-300% ส่วนตัวมองว่ารอบการเปลี่ยนหุ้นลงทุนไม่น่าจะจบใน 4-5 เดือน และคงจะต่อเนื่องไปเป็นปี ในเชิงกลยุทธ์แนะนำนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่ม Value ที่ราคาหุ้น Laggard เช่น ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ ส่วนหุ้นต่างประเทศเชื่อว่าหุ้นยุโรปเริ่มกลับมาน่าสนใจ เนื่องจากมีสัดส่วนของหุ้น Value ค่อนข้างมาก” 

 

ขณะที่ กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน กลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน มองว่า การปรับพอร์ตของ BlackRock ในรอบนี้เป็นไปตามกลยุทธ์หลักของ Consensus อยู่แล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ตลาดเล่นบนสภาพคล่องที่ล้นระบบ และเข้าเก็งกำไรในอุตสาหกรรมที่มีความคาดหวังว่าจะเติบโตได้สูง และให้ราคาบน P/E ที่สูงขึ้น 

 

แต่เมื่อเศรษฐกิจจริงเริ่มฟื้นตัวและมีแนวโน้มที่นโยบายการเงินจะปรับเปลี่ยน ซึ่งไม่ช้าก็เร็ว ผู้กำหนดนโยบายจะต้องเริ่มลดสภาพคล่องในระบบลงมา ทำให้นักลงทุนเริ่มกลับมามองหุ้นกลุ่มวัฏจักรมากขึ้น 

 

“เชื่อว่าแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะยังมีต่อเนื่องจนกว่าจะเห็นการส่งสัญญาณการลดวงเงินอัดฉีดสภาพคล่องอย่างชัดเจน ซึ่งขณะนี้การปรับพอร์ต (Rebalancing) ของนักลงทุนยังไม่จบ จนกว่าจะเริ่มเห็นนโยบายที่ปรับเปลี่ยนไปชัดเจนขึ้น” 

 

กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ หากมองในระยะยาวเชื่อว่าหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศเริ่มน่าสนใจมากขึ้น แต่ระยะสั้นอาจจะเลือกหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก ทั้งนี้ ยังคงให้น้ำหนักหุ้นไทยราว 50-55% ของพอร์ต 

 

ด้าน ธณาพล อิทธินิธิภัค ผู้อำนวยการกลุ่มลูกค้าบุคคลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ BlackRock กล่าวว่า ทาง BlackRock ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเอเชีย ซึ่งปัจจัยสนับสนุนยังคงเป็นเรื่องสภาพคล่องในระบบการเงินโลกที่ยังอยู่ระดับสูง รวมไปถึงการเร่งฉีดวัคซีนในหลายๆ ประเทศ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็ว

 

“จะเห็นว่าในสหรัฐฯ เริ่มฉีดวัคซีนในวงกว้างมากขึ้น และเชื่อกันว่าจะฉีดได้เกินกว่า 70% ภายในไตรมาส 3 นี้ ซึ่งถ้าทำได้และเกิด Herd Immunity ได้เร็ว เศรษฐกิจก็จะฟื้นตัวเร็วขึ้นด้วย จึงทำให้คน Positive กับตลาดหุ้น”

 

อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าเวลานี้สินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ ปรับขึ้นมาเร็วมาก และราคาสินทรัพย์หลายชนิดเริ่มแพง ซึ่งอะไรก็ตามที่วิ่งขึ้นมาเร็ว หากมีข่าวที่ทำให้ต้องสะดุดลง ราคาสินทรัพย์เหล่านั้นก็อาจปรับตัวลงแรงได้เช่นกัน

 

ส่วนกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนในช่วงนี้ ธณาพลกล่าวว่า ช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็ว กลุ่มแรกที่คนนิยมลงทุนกันคือกลุ่มไฟแนนซ์ เพราะเมื่อเศรษฐกิจดี คนก็จะกู้ยืมเพื่อไปลงทุน และกลุ่มที่จะตามมาหลังจากนั้นคือกลุ่มอุตสาหกรรม ถัดจากนั้นไปคือกลุ่มเทคโนโลยี 

 

“จริงๆ กลุ่มเทคโนโลยีเรายังเชียร์อยู่ หากเป็นการลงทุนระยะยาว เพราะเมื่อธุรกิจดีขึ้น ภาคธุรกิจก็ต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำธุรกิจเพิ่มขึ้น ยิ่ง 5G กำลังจะมา อุตสาหกรรมต่างๆ ก็ต้องนำมาใช้ เราจึงมองว่าระยะยาวแล้วกลุ่มเทคโนโลยียังไปได้ แต่แน่นอนว่าเมื่อราคาพุ่งขึ้นไปมากๆ การปรับฐานจึงเป็นเรื่องปกติ”

 

ภาพประกอบ: ฉัตรชัย เฉยชิต

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising