ความเคลื่อนไหวหุ้น SCGP วันนี้ (27 เมษายน) ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก ทำให้ราคาปรับเพิ่มขึ้น ทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 52.25 บาท และมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นติด Top 10 Most Active Value
บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง หรือ SCGP แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2564 มีรายได้รวม 27,253 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์รายไตรมาส ขณะเดียวกัน SCGP วางเป้าหมายรายได้รวมปี 2564 จะมากกว่า 100,000 ล้านบาท โดยการขยายฐานลูกค้าทั่วอาเซียนเพิ่ม โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์เติบโตตามไปด้วย
วิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCGP กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2564 SCGP มีรายได้จากการขายรวม 27,253 ล้านบาท เติบโต 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 5,267 ล้านบาท ถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นมาจากการเติบโตของความต้องการซื้อสินค้าของผู้บริโภคในอาเซียน ราคากระดาษ บรรจุภัณฑ์ในภูมิภาค ปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกัน SCGP มีการวางโมเดลธุรกิจมุ่งขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำ (Downstream) ในภูมิภาคอาเซียนให้เติบโตยิ่งขึ้น การกระจายฐานลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความเกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าเพื่อสุขอนามัย ซึ่งยังมีการเติบโตได้ดี เนื่องจากเป็นสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน
ทั้งนี้ บรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคคิดเป็นสัดส่วน 70% ของรายได้จากสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร
ส่วนบรรจุภัณฑ์สำหรับอีคอมเมิร์ซยังมีการเติบโตได้ดีในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค และได้รับผลเชิงบวกในช่วงที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
“ปี 2563 และ 2564 ถือเป็นปีที่ทุกธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ตาม SCGP ตั้งเป้าผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกในปีนี้ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงโมเดลธุรกิจที่มีศักยภาพจากการกระจายฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย และการนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แตกต่าง”
สำหรับการลงทุนในปี 2564 SCGP ตั้งงบประมาณรายจ่ายลงทุน (CAPEX) ไว้ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็น สำหรับการลงทุนเพื่อการเติบโต หรือ M&P (Merger and PartnershipX) และขยายกำลังการผลิตประมาณ 15,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าและรองรับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีการเติบโต และอีก 5,000 ล้านบาท เป็นงบประมาณรายจ่ายลงทุนประจำปีที่ใช้ในการซ่อมบำรุง โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพ โครงการวิจัยพัฒนาสินค้า และโครงการพัฒนาด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบัน SCGP อยู่ระหว่างการขยายธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอีกหลายโครงการ ประกอบด้วย การขยายกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ในฟิลิปปินส์อีก 220,000 ตันต่อปี และการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์แบบอ่อนตัวในประเทศไทยอีก 53 ล้านตารางเมตรต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 รวมทั้งการลงนามในสัญญาซื้อหุ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อเข้าถือหุ้นสัดส่วน 70% ใน Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan) ประเทศเวียดนาม เพื่อขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูปในเวียดนาม คาดว่าจะปิดดีลแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2564
