แม้ว่าจะสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดในบ้านเกิดให้กับคู่แข่ง และผลกำไรลดลง 30% ในปีที่แล้ว แต่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของ Asahi Group Holdings กลับมองว่า ‘เบียร์ Super Dry’ ซึ่งเป็นสินค้าเรือธง หรือ Flagship Product ของบริษัทจะสามารถก้าวเข้าสู่ 10 อันดับแรกของเบียร์ทั่วโลกได้ภายในปี 2030
การจะกระโดดจากอันดับ 19 (เมื่อวัดจากปริมาณ) ไปสู่ฝันที่วาดไว้ จะเกิดขึ้นโดยมุ่งไปหานักดื่มในเมืองใหญ่ของยุโรปและจีน ซึ่งมีปัจจัยหนุนจากการเข้าสู่สภาวะปกติในอนาคตอันใกล้ด้วยการฉีดวัคซีน
“อาจใช้เวลาสองถึงสามปี แต่เราคิดว่ามีโอกาสที่ดีในการขยายธุรกิจในระดับพรีเมียม โดยการส่งเบียร์ระดับไฮเอนด์เข้าสู่เมืองใหญ่” อัตสึชิ คัตสึกิ (Atsushi Katsuki) แม่ทัพคนใหม่ของ Asahi กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg
คัตสึกิคาดการณ์ว่าการบริโภคเบียร์หลังเกิดโรคระบาดจะเพิ่มขึ้น หลังจากผู้บริโภคต้องเข้าสู่สภาวะเว้นระยะห่างทางสังคม โดยสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วเมื่อมีการปลดข้อจำกัดต่างๆ ในฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วในยุโรปและจีน ซึ่งทำให้ความต้องการเบียร์เพิ่มขึ้นในผับและร้านอาหาร
เรื่องที่เกี่ยวข้อง: ‘เบียร์ไร้แอลกอฮอล์’ ผู้ชุบชีวิตตลาดเบียร์ที่ซบเซาของญี่ปุ่น
ทว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้สร้างวิกฤตที่หนักหนาสำหรับ Asahi เช่นเดียวกัน เพราะ ‘ร้านอาหาร’ คิดเป็นสัดส่วนของรายได้เกือบครึ่งหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งอย่าง Kirin Holdings ที่พึ่งพาการรับประทานอาหารนอกบ้านในระดับที่น้อยกว่า นอกจากนี้ Asahi ยังต้องแบกรับภาระทางการเงินหลังจากใช้เงิน 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อขยายธุรกิจในต่างประเทศโดยซื้อแบรนด์ต่างๆ เช่น Peroni, Pilsner Urquell และ Victoria Bitter
กระนั้นการจะเดินไปสู่ฝันที่วางไว้ของ ‘เบียร์ Super Dry’ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ Super Dry จะต้องเข้าเดินไปแทนที่เจ้าของตำแหน่งเดิมที่ล้วนมีชื่อเสียงระดับโลกเช่น Budweiser และ Heineken รวมถึงเบียร์จีนเช่น Tsingtao ที่ขับเคลื่อนโดยประชากรจำนวนมากของแดนมังกร
ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงที่กดดันอุตสาหกรรมเบียร์ทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็เร่งตัวขึ้น โดยมีปัจจัยกระตุ้นจากโรคโควิด-19 สิ่งที่พบคือผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น และรับประทานอาหารนอกบ้านน้อยลง ทำให้ผลกำไรของ Asahi ลดลง 30% และยอดขายลดลง 2.6% ในปี 2020
แม้ Super Dry ที่สร้างขึ้นในปี 1980 ช่วยให้ Asahi กลายเป็นผู้ผลิตเบียร์ชั้นนำของญี่ปุ่น แต่เมื่อเร็วๆ นี้ Asahi ได้เสียส่วนแบ่งให้กับ Kirin ที่ออกสินค้าใหม่มากขึ้น ตลอดจนมุ่งเน้นไปที่ช่องทางการค้าปลีก
ปัจจุบันการดำเนินงานในต่างประเทศของ Asahi เติบโตขึ้นจนคิดเป็นครึ่งหนึ่งของกำไรจากการดำเนินงานหลักในปีงบประมาณล่าสุด เพิ่มขึ้นจากเพียง 10% เมื่อประมาณห้าปีที่แล้ว แต่อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทยังเพิ่มขึ้นเป็นหกเท่าของรายได้ หลังจากการเข้าซื้อกิจการครั้งล่าสุดด้วยมูลค่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์
แม่ทัพคนใหม่ของ Asahi ตั้งเป้าที่จะทำให้อัตราหนี้สินต่อรายได้กลับมาสู่ระดับ 3 เท่าภายในปี 2024 และในระหว่างนั้นคาดว่าจะยังไม่มีการซื้อกิจการใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม
ภาพ: Budrul Chukrut / Getty Images
อ้างอิง :