บมจ.เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ เตรียมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 75 ล้านหุ้น ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ ซึ่งเงินที่ได้จะนำไปใช้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับบริษัท ด้วยการสร้างอาคารโรงงานแห่งใหม่มูลค่า 350 ล้านบาท ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี พร้อมกับตั้งเป้ารายได้ช่วง 5 ปีข้างหน้าไว้ไม่ต่ำกว่า 6 พันล้านบาท
เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสำเร็จรูป เช่น แซนด์วิชอบร้อน เบเกอรี ขนมขบเคี้ยว วางจำหน่ายตามร้านสะดวกซื้อ 7-11 และยังเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายเนื้อสัตว์ ผักแช่แข็ง
สมชาย อัศวปิยานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NSL Foods ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสำเร็จรูปประเภทแซนด์วิชอบร้อน เบเกอรี ขนมขบเคี้ยว และผู้นำเข้าและจำหน่ายเนื้อสัตว์และผักแช่แข็ง กล่าวว่า บริษัทมีความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนใน SET และเตรียมเสนอขาย IPO จำนวน 75 ล้านหุ้น คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดของบริษัท ภายในไตรมาส 2 ของปี 2564 หรือประมาณเดือนพฤษภาคม เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน และเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ โดยแต่งตั้งให้ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางด้านการเงิน
อัครเดช เลี่ยมเจริญ ผู้อำนวยการด้านบัญชีและการเงิน บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เป้าหมายหลักของการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อรองรับแผนการขยายกำลังการผลิตสำหรับโครงการใหม่ โดยจะนำเงินไปก่อสร้างอาคารโรงงานแห่งใหม่และเครื่องจักรมูลค่าประมาณ 350 ล้านบาท ทำให้มีกำลังการผลิตรองรับรายได้สูงสุด 1.2 พันล้านบาทต่อปี
ตัวโรงงานจะตั้งอยู่บริเวณพื้นที่โรงงานเดิมภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ชลบุรี ฃ อาคารแห่งใหม่คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 1 ปี หากความต้องการของตลาดมีความชัดเจนภายในปีนี้ บริษัทคาดการณ์จะเริ่มสร้างปี 2565 แล้วเสร็จปี 2566 ซึ่งจะเน้นการผลิต 3 กลุ่มสินค้า ได้แก่ 1. อาหารแช่แข็งพร้อมรับประทาน เช่น ซุป อาหารแช่แข็ง และซอสต่างๆ 2. อาหารพร้อมรับประทานแบบไม่ต้องแช่เย็น เช่น แกงและกับข้าว และ 3. อาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น โจ๊กคัพ และซุป เป็นต้น”
สำหรับรายงานผลประกอบการปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 2,927.6 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากส่วนของกลุ่มธุรกิจเบเกอรีและรองท้อง มีมูลค่า 2,759.5 ล้านบาท รองลงมาคือ ฟู้ด เซอร์วิส มีมูลค่า 132.6 ล้านบาท ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจที่บริษัทซื้อกิจการเข้ามากลางปี 2562 และในปี 2563 ได้เริ่มรับรู้การเติบโตของรายได้
รายได้ปี 2563 ลงลดไป 13% เนื่องจากผลกระทบในช่วงวิกฤตโควิด-19 อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 5.2% จากปี 2562 ซึ่งมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 4.6% คาดว่าอัตรากำไรที่สูงขึ้นเป็นเพราะการบริหารต้นทุนและบริหารค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น ในปี 2564 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมไม่ต่ำกว่า 3.5 พันล้านบาท และมีเป้าหมายการเติบโตประมาณ 16%
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
