ย้อนกลับไปในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา หากจะให้มีการจัดทีมในดวงใจของแฟนบอลทั่วโลกแล้ว เชื่อว่าจำนวนไม่น้อยจะต้องใส่ชื่อของ ชาบี อลอนโซ เอาไว้ในทีมของตัวเองอย่างแน่นอน
ด้วยท่วงท่าที่สง่างามราวกับเป็นท่านชายผู้สูงศักดิ์ ความสุขุมนุ่มลึก ความสามารถในการเปิดบอลระยะไกลได้แม่นยำราวกับจับวาง ที่หากไม่ใช่ก็น่าจะใกล้เคียงกับคำว่าแม่นที่สุดของโลก ลูกยิงไกลที่เลือกได้ทั้งการอัดเต็มกำลังหรือการเลือกทิศทาง
มากกว่านั้นคือความสามารถในการควบคุมเกมที่ทำได้ราวกับว่าเป็นผู้ควบคุมการไหลของกระแสเวลาภายในสนาม
ความสามารถในฐานะนักฟุตบอลของอลอนโซนับว่าเป็นหนึ่งไม่มีสอง และสิ่งที่ยืนยันได้มากกว่าแค่คำพูดและความคิดคือจำนวนถ้วยแชมป์ที่เขาเคยคว้ามาได้ทั้งชีวิต
แชมป์แรกในชีวิตคือ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกกับลิเวอร์พูลในเกมปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูล (ซึ่งเขาเป็นคนทำประตูตีเสมอ 3-3 ในเกมดังกล่าวด้วย) จากนั้นคือความสำเร็จกับเรอัล มาดริด มากมาย ทั้งแชมป์ลีก แชมป์ฟุตบอลถ้วย และกับบาเยิร์น มิวนิก ที่กวาดแชมป์เรียบวุธในเยอรมนี
ที่ยิ่งใหญ่กว่าคือ กับทีมชาติสเปนที่ได้แชมป์รายการใหญ่ติดต่อกัน 3 รายการ จากฟุตบอลยูโร 2008, ฟุตบอลโลก 2010 และอีกครั้งกับฟุตบอลยูโร 2012
ในการอำลาวงการเมื่อปี 2017 อลอนโซก็เลือกที่จะอำลาในช่วงที่ยังคงเล่นได้ในระดับสูงสุด ทั้งๆ ที่หลายคนยังเชื่อว่า ฝีเท้าและสไตล์การเล่นของเขาน่าจะยืดระยะเวลาการใช้งานได้ยาวนานกว่านั้นอีกหลายปี
คำถามที่แฟนฟุตบอลหลายคนอยากรู้คือ ชีวิตหลังการเล่นฟุตบอลเขาจะไปทำอะไรต่อ?
ตอบแบบขำขันคือ หลังเลิกเล่นฟุตบอล อลอนโซเดินทางมาพักผ่อนเป็นการส่วนตัวที่ประเทศไทย! และมีแฟนฟุตบอลจำนวนไม่น้อยที่ได้เจอกับยอดนักเตะรายนี้
แต่หากตอบแบบจริงจังคือ ยอดกองกลางรายนี้มีเป้าหมายชัดเจนที่อยากจะทำงานต่อในวงการ ในฐานะโค้ชคนหนึ่ง
อย่างไรก็ดี ชื่อของเขาหายเงียบไปจากวงการพักใหญ่ ก่อนจะมีรายงานข่าวที่สร้างความฮือฮาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (22 มีนาคม 2564) ว่า ชาบี อลอนโซ เตรียมจะรับตำแหน่งโค้ชคนใหม่ของทีมโบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค ต่อจาก มาร์โค โรส โค้ชคนปัจจุบันที่จะย้ายไปคุมทีมใหญ่กว่าอย่างโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แทน
การปรากฏตัวบนสื่ออีกครั้งของอลอนโซ สร้างความประหลาดใจอย่างมากด้วยหลายเหตุผล
หนึ่งคือ เขาไม่ได้มีส่วนเชื่อมโยงอะไรเลยกับกลัดบัค อดีตมหาอำนาจวงการลูกหนังเยอรมนีในอดีต ที่ปัจจุบันก็เป็นหนึ่งในสโมสรชั้นดีของประเทศ แม้ว่าเขาจะเคยเล่นกับบาเยิร์น มิวนิก ในช่วงบั้นปลายชีวิตก็ตาม
ต่อมาคือ เขาไม่เคยมีประสบการณ์ในการคุมทีมใหญ่มาก่อน แม้แต่ในสเปน บ้านเกิดของตัวเอง การรับงานคุมทีมระดับลีกสูงสุดต่างแดนจึงไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจได้ง่ายนัก
เพราะหากจะให้จินตนาการเส้นทางที่ควรจะเป็นแล้ว อลอนโซควรจะเริ่มงานจากในสเปนก่อน อาจจะรับบทผู้ช่วยโค้ชของทีมชุดใหญ่สักแห่ง แล้วจึงค่อยรอโอกาสในการคุมทีมชุดใหญ่ น่าจะเป็นเส้นทางที่ราบรื่นและน่าตื่นเต้นน้อยกว่า
หรือหากจะมีโอกาสในเยอรมนี ก็ควรจะเป็นกับบาเยิร์น มิวนิก มากกว่ากลัดบัค ไม่ใช่หรือ?
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาอลอนโซไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่มีการสะสมวิชาความรู้มาอย่างเงียบๆ โดยหลังจากที่ประกาศแขวนสตั๊ดไป ก็ได้เข้ารับการอบรมโค้ชกับ UEFA โดยเรียนร่วมรุ่นเดียวกับ ชาบี เอร์นานเดซ และ ราอูล กอนซาเลซ สองตำนานทีมชาติสเปน
เมื่อสำเร็จการศึกษาก็ได้โอกาสในการคุมทีมเยาวชนชุดอายุต่ำกว่า 14 ปีของเรอัล มาดริด ในปี 2018 พาทีมคว้าแชมป์ลีกในระดับนี้ได้ และหลังจากนั้นอีก 1 ปี จึงได้กลับสู่ถิ่นฐานบ้านเกิดในการคุมทีมชุดบีของเรอัล โซเซียดัด ที่มีชื่อเรียกว่า ‘ซานเซ’ เพราะตำแหน่งโค้ชของทีมชุดนี้ว่างลงพอดี หลัง อีมานอล อัลกวาซิล ถูกดันขึ้นทีมชุดใหญ่
การกลับมาคุมทีมโซเซียดัดชุดเล็กถือเป็นการ ‘ชดเชย’ ความรู้สึกในใจบางอย่างสำหรับอลอนโซ ผู้ที่ไม่เคยได้กลับมาเล่นให้ทีมรักอีกเลยนับตั้งแต่ย้ายไปลิเวอร์พูลเมื่อปี 2004 และสิ่งนี้อาจจะเป็นความรู้สึกผิดอย่างเดียวในใจของเขา
“ผมไม่เคยได้แชมป์กับโซเซียดัด และผมก็มาจากซานเซบาสเตียน” อลอนโซให้สัมภาษณ์เอาไว้กับ The Athletic เมื่อปี 2019
ในการคุมทีมซานเซมีส่วนช่วยในการขัดเกลาฝีมือในการคุมทีมของอลอนโซมากขึ้น โดยที่เขาเองไม่เคยหวาดกลัวต่อความล้มเหลวหรือความผิดหวังใดๆ
ตรงกันข้าม สำหรับชายผู้ที่ทุกคนมองว่าไม่เคยสัมผัสกับความล้มเหลวใดๆ เลยในชีวิต กลับเชื่อว่าความล้มเหลวนี่แหละที่เป็นแรงผลักดันที่ดีที่สุดของชีวิต
“ความท้าทายคือความตื่นเต้น” อลอนโซกล่าว “ผมรู้สึกว่าผมอยากจะพิสูจน์ตัวเองในทุกวัน ผมไม่อยากเป็นที่รู้จักจากสิ่งที่ผมเคยทำได้ แต่ผมอยากให้ทุกคนได้รู้ในสิ่งที่ผมกำลังจะทำมากกว่า”
ผลงานของอลอนโซกับทีมซานเซไม่ได้ถือว่ายอดเยี่ยมนัก แต่อย่างน้อยการพาทีมจบด้วยอันดับที่ 5 ของลีกเซกุนดา เบ ด้วยการเป็นทีมที่ทำประตูได้มากที่สุด 47 ประตู จาก 28 นัด ก็ถือว่ามีความน่าสนใจ
เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ทีมของอลอนโซเล่นฟุตบอลที่สวยงาม น่าตื่นตาตื่นใจ แม้จะยังมีจุดอ่อนในเรื่องของเกมรับก็ตาม
ขณะที่เจ้าตัวกลับบอกว่า สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาจริงๆ แล้วคือการปรับเข้าหาลูกทีมที่มีมากกว่าจะกำหนดปรัชญาการเล่นแบบตายตัว
ความจริงแล้วหากจะมีทีมแรกที่อลอนโซจะได้คุมทีม ไม่มีทีมใดที่จะดีไปกว่าการได้คุม ‘ลา เรอัล’
มันจะเป็นเรื่องโรแมนติกลูกหนังที่จับใจผู้คนอย่างยิ่ง เมื่อทายาทของตำนานสโมสรอย่าง มิเกล อลอนโซ หรือ ‘เปริโก’ ในความทรงจำของแฟนๆ ยอดมิดฟิลด์ในวันวาน และเคยเกือบพาโซเซียดัดคว้าแชมป์ลาลีกาได้ในปี 2003 ก่อนจะไปจากทีมโดยไม่เคยได้หวนกลับมาอีกในฐานะผู้เล่น ได้โอกาสชดเชยความรู้สึกในใจของทุกคนด้วยการคุมทีมชุดใหญ่อีกครั้ง
แต่สำหรับอลอนโซ บางทีเขาอาจจะไม่ใช่คนที่ชอบเรื่องโรแมนติกหรือยึดติดอะไรทำนองนี้นัก สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือ การคว้าโอกาสที่เห็นว่าดีที่อยู่ตรงหน้า
เมื่อกลัดบัคติดต่อมา และตัวเขารู้สึกว่าพร้อมแล้วสำหรับความท้าทายที่อยู่ตรงหน้า ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธ
เช่นเดียวกับ สตีเวน เจอร์ราร์ด คู่หูในวันวานที่ละทิ้งงานเยาวชนของลิเวอร์พูล และใช้เวลา 3 ปีในการจารึกชื่อตัวเองในฐานะผู้จัดการทีมที่สามารถพากลาสโกว์ เรนเจอร์ส กลับมาผงาดในวงการฟุตบอลสกอตแลนด์ได้อีกครั้ง
ชาบี อลอนโซ ก็อาจจะทำได้เหมือนกัน ใครจะไปรู้!
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
- https://www.theguardian.com/football/2021/mar/22/xabi-alonso-borussia-monchengladbach-manager-june
- https://theathletic.co.uk/1355420/2019/11/16/xabi-alonso-exclusive-i-dont-want-to-be-known-for-what-i-have-done-i-want-to-be-known-for-what-i-am-doing/?article_source=search&search_query=xabi%20alonso
- https://www.laligalowdown.com/post/up-and-coming-coaches-xabi-alonso