* มีการเปิดเผยเนื้อหาของเรื่อง Attack on Titan The Final Season บางส่วน
ไม่มี ‘ชาวเอลเดียที่ดี’ ไม่มี ‘ปีศาจร้ายบนเกาะ’ ไม่มี ‘ชาวมาร์เลย์กิตติมศักดิ์’ จะมีก็แต่ ‘ผู้สูญเสียจากสงคราม’ เท่านั้น
กาบิ บราวน์ ตัวละครหลักจากเรื่อง Attack on Titan The Final Season เด็กหญิงชาวเอลเดียที่เกิดในเขตกักกันลิเบริโอ สถานที่กักกันชาวเอลเดียในฐานะเชลยศึกที่ชาวมาร์เลย์เก็บเอาไว้ใช้ประโยชน์ทางการทหาร ชาวมาร์เลย์ปฏิบัติกับชาวเอลเดียในเขตกักกันอย่างไร้มนุษยธรรม ซ้ำยังบิดเบือนประวัติศาสตร์ เล่าเรื่องโกหก โฆษณาชวนเชื่อ ปลูกฝังความเกลียดชังในตัวตนของชาวเอลเดีย ทำให้ชาวเอลเดียมี ‘ตราบาป’ ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
‘ตราบาป’ นั้นถูกสะท้อนออกมาในรูปแบบของ ‘ปลอกแขนชาวเอลเดีย’ ที่ชาวเอลเดียทุกคนในเขตกักกันลิเบริโอถูกบังคับให้ใส่เอาไว้ตลอดเวลา หากถอดออกจะต้องโทษสถานหนัก สังเกตได้จากการที่กาบิขออนุญาตถอดปลอกแขนตอนที่เธอจะออกจากสนามเพลาะไปปาระเบิดเพื่อทำลายรถไฟหุ้มเกราะ
กลายเป็นคำถามขึ้นมาว่า แม้แต่ในช่วงสงครามที่ฝั่งมาร์เลย์กำลังเพลี่ยงพล้ำและอยู่ในจังหวะคับขัน ‘ปลอกแขนชาวเอลเดีย’ ยังเป็นเรื่องสำคัญอยู่อีกหรือ
“เดิมทีศัตรูของเราก็คือปีศาจบนเกาะที่คุกคามความสงบสุขของโลกใบนี้อยู่ไม่ใช่หรือไง นายก็น่าจะเคยเรียนมาแล้วนี่ จะเมื่อก่อนหรือตอนนี้พวกมันก็ยังเป็นปีศาจร้ายที่สมควรโดนฆ่าอยู่วันยังค่ำ ไม่เหมือนพวกเรา”
สื่อทุกอย่างในประเทศมาร์เลย์ถูกบิดเบือนไปจากความจริง ประวัติศาสตร์ของชาวเอลเดียที่แท้จริงถูกชาวมาร์เลย์ทำลายไปหมดสิ้นและสร้างเรื่องราวขึ้นมาใหม่
เหล่าบรรพบุรุษของชาวเอลเดียถูกยัดเยียดบท ‘ปีศาจ’ เพราะการใช้พลังไททันในร่างกายก่อสงครามและยึดครองดินแดนมนุษย์ หรือที่ชาวมาร์เลย์เรียกว่า ‘บาปที่บรรพบุรุษได้ก่อไว้’
แม้ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นจะเป็นเรื่องจริง แต่เวลาก็ผ่านไปแล้วกว่าสองพันปี พูดกันตามความจริงชาวเอลเดียในปัจจุบันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลยสักนิด
เด็กชาวเอลเดียที่เกิดในเขตกักกันทุกคนรวมถึงกาบิได้เรียนรู้สิ่งที่บิดเบี้ยวเหล่านี้จากแบบเรียนที่ชาวมาร์เลย์เป็นผู้เขียนขึ้น ตลอด 10 กว่าปีที่เธออ่านออกเขียนได้และพอจะเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ชีวิตรอบตัวของเธอก็มีแต่คำว่า ‘ปีศาจบนเกาะ’ และ ‘บาปที่บรรพบุรุษได้ก่อไว้’
ชาวมาร์เลย์เองก็ถูกปลูกฝังมาว่าชาวเอลเดียนั้นมีฐานะต้อยต่ำ แม้ชาวเอลเดียที่เกิดขึ้นมาใหม่จะไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับสงครามในอดีต แต่พวกเขาสมควรต้องชดใช้กรรมที่เหล่าบรรพบุรุษก่อไว้ด้วยชีวิต
การจะลิดรอนสิทธิเสรีภาพ การทดลอง ทำร้ายร่างกาย หรือแม้กระทั่งการฆ่าชาวเอลเดียไม่ใช่เรื่องผิดสำหรับชาวมาร์เลย์ เพราะชาวเอลเดียนั้นมีค่าแค่เป็น ‘อาวุธชีวภาพ’ ที่มีประโยชน์ทางการทหารให้กับประเทศมาร์เลย์เท่านั้น
คำว่า ‘ชาวเอลเดียที่ดี’ เป็นคำที่ใช้กันทั่วไปในเขตกักกันลิเบริโอ คำนี้เป็นดั่งเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจว่าชาวเอลเดียไม่ใช่คนเลวไปเสียทั้งหมดอย่างที่ชาวมาร์เลย์ได้ปลูกฝังเอาไว้ หากพวกเขาทำคุณประโยชน์ให้กับมาร์เลย์เพื่อล้างบาปที่บรรพบุรุษเป็นผู้ก่อเอาไว้ได้ พวกเขาก็จะกลายเป็น ‘ชาวเอลเดียที่ดี’
“เพราะฉันเป็นชาวเอลเดียที่เกิดมาในเขตกักกันแห่งนี้ พอเดินออกไปนอกกำแพงก็ถูกถ่มน้ำลายใส่ แล้วก็มีแต่ความทรงจำที่ขมขื่นอยู่เต็มไปหมด เพราะงั้นฉันเลยอยากพิสูจน์ให้โลกรู้ว่าชาวเอลเดียเป็นคนดี เพราะเชื่อว่าสักวัน วินาทีที่ได้ภาคภูมิใจในปลอกแขนชาวเอลเดียนี้จะมาถึง”
การที่จะลบล้างตราบาปและหลุดพ้นจากสถานะชาวเอลเดียที่ต่ำต้อยได้ คือการได้เป็น ‘นักรบ’ หรือผู้สืบทอดพลังไททันทั้ง 9 ที่มีหน้าที่สำคัญทางการทหารคือการเป็นทัพหน้าให้กับชาวมาร์เลย์ในสงคราม
เด็กชาวเอลเดียที่เกิดขึ้นมาใหม่ต่างก็มีเหตุผลที่อยากเป็นนักรบกันทั้งสิ้น ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อที่ชาวมาร์เลย์บอกไว้ว่าการได้เป็นนักรบจะทำให้ครอบครัวของพวกเขาหลุดพ้นจากการเป็นชาวเอลเดียที่ต่ำต้อย และได้รับ ‘ปลอกแขนชาวเอลเดียสีแดง’ ที่เป็นสัญลักษณ์ว่าเขาได้รับการยอมรับดุจเป็นชาวมาร์เลย์คนหนึ่ง
แม้ว่าเหล่านักรบจะถูกยอมรับในฐานะ ‘ชาวเอลเดียที่ดี’ แล้ว แต่ ‘ตราบาป’ ไม่ได้จางหายไปในอากาศ พวกเขาต้องอุทิศชีวิตทั้งหมด 13 ปีที่ยังเหลือให้กับสงครามแห่งความเกลียดชังที่ไม่รู้จบ และ ‘ปลอกแขน’ บ่งบอกตัวตนที่เป็นดั่งโซ่ตรวนที่ไม่สามารถถอดออกได้ มีแต่ภาพความฝันถึง ‘วินาทีที่ได้ภาคภูมิใจในปลอกแขนชาวเอลเดีย’ เท่านั้น
“ต่อให้มันเป็นเขตกักกันแบบนี้ มันก็ยังเป็นบ้านของฉันที่มีเหล่าคนสำคัญของฉันอยู่ดีฉันยกโทษให้คนที่มาเหยียบย่ำมันไม่ได้หรอก”
การมาเยือนของ ‘ปีศาจบนเกาะ’ ทำให้เพื่อนร่วมชั้นของกาบิถูกหินจากแรงระเบิดหล่นทับจนตาย ส่วนอีกคนที่พยายามเข้าไปช่วยก็โดนผู้คนที่แตกตื่นวิ่งเหยียบซ้ำไปซ้ำมาจนหัวแตก
ทหารยามชาวมาร์เลย์สองคนที่ห้ามไม่ให้เธอไปบริเวณที่เกิดความวุ่นวาย แม้ว่าเธอจะเป็นชาวเอลเดียที่ชีวิตไม่ได้มีค่าเลยสักนิดสำหรับชาวมาร์เลย์ก็ถูก ‘ปีศาจบนเกาะ’ ยิงตายต่อหน้าต่อตาของเธอ ทำให้มวลความแค้นและความเกลียดชังที่แม้ไม่เคยได้เห็น แต่ถูกปลูกฝังเอาไว้ตลอด 12 ปียิ่งเอ่อล้นขึ้นไปอีกด้วยประสบการณ์จริงที่ได้เจอ
กาบิจึงตัดสินใจคว้าปืน หอบหิ้วเอามวลความรู้สึกเหล่านั้นที่อยู่บนพื้นดินของเขตกักกันลิเบริโอขึ้นไปบนน่านฟ้าและเหนี่ยวไกส่ง ‘กระสุนสังหาร’ มุ่งตรงสู่ใครก็ตามที่เธอเจอเป็นคนแรก
ไม่มีใครเกิดมาเป็นคนเลวตั้งแต่แรก อาจพูดได้ว่าด้วย ‘กระสุนสังหาร’ กาบิ บราวน์ ไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้ทำสิ่งที่ผิด เธอไม่ใช่คนดี แต่เธอก็ไม่ใช่คนเลว
เธอเป็นเพียง ‘เหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่อ’ ตลอด 12 ปีตั้งแต่เธอถือกำเนิดขึ้นมาในรั้วของเขตกักกันลิเบริโอพร้อมกับโซ่ตรวนที่ไม่มีวันถอดออกได้ที่เรียกว่า ‘ปลอกแขนชาวเอลเดีย’ เท่านั้นเอง
ถ้ามองเรื่องราวที่เกิดขึ้นและทำความเข้าใจบริบทรอบด้านให้ลึกลงไปถึงแก่นแท้สำคัญของปัญหาทั้งหมด เราอาจจะพบว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับกาบิอาจไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในแผ่นดินมาร์เลย์หรือเขตกักกันลิเบริโอ
เพราะแท้จริงแล้วพวกเราทั้งหมดล้วนมีสิทธิ์ตกเป็นเหยื่อของ ‘การโฆษณาชวนเชื่อ’ ไม่ต่างกัน
เมื่อกาบิได้ออกจากเขตกักกันลิเบริโอไปสัมผัส ‘ความชั่วร้ายของปีศาจบนเกาะ’ เธอจะได้เรียนรู้และยอมรับความแตกต่างหรือไม่ แทนที่จะสานต่อความเกลียดชังที่มีต่อกัน ลองหันมาเอาใจช่วยเด็กหญิงคนนี้ให้เบิกเนตรกระชาก ‘ปลอกแขนชาวเอลเดีย’ และเติบโตขึ้นโดยหลุดพ้น ‘จากการโฆษณาชวนเชื่อ’ ที่คอยครอบงำความคิดของเธออยู่เสียที
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า