Bling Empire คือความบันเทิงขั้นสุดที่พาเราเข้าไปสำรวจความรวยอันน่าหมั่นไส้จนกลายเป็นเรื่องตลกขบขันของกลุ่มเพื่อนอภิมหาเศรษฐีเชื้อสายเอเชียในแอลเอ โดยแต่ละคนโปรไฟล์ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็น Ken Lim ทายาทธุรกิจน้ำมันและอสังหาริมทรัพย์ชาวสิงคโปร์, Christine Chiu ภรรยาของศัลยแพทย์ชื่อดังชาวจีนแห่งเบเวอรี่ฮิลล์, Jamie Xie แฟชั่นอินฟลูเอนเซอร์ ลูกสาวนักธุรกิจพันล้านแห่งซิลิคอลวัลเลย์, Kim Lee ดีเจชื่อดังเชื้อสายเวียดนาม, Cherie Chan และ Jesse Lee คู่รักที่มาจากตระกูลทำธุรกิจเสื้อผ้าเดนิมและเฟอร์นิเจอร์, Kelly Mi Li โปรดิวเซอร์สาวชาวจีน, Anna Shay สาวใหญ่ลูกครึ่งญี่ปุ่นรัสเซียทายาทนักธุรกิจค้าอาวุธ และ Kevin Kreider นายแบบเชื้อสายเกาหลีผู้ได้รับอุปการะจากพ่อแม่ชาวอเมริกัน แม้จะไม่ได้รวย แต่ก็เข้าไปอยู่ในกลุ่มได้เกือบจะกลมกลืน และเหมือนจะเป็นตัวแทนของเราๆ ท่านๆ ที่ได้เข้าไปอู้หู อ้าหา กับไลฟ์สไตล์สุดเวอร์วังของเหล่า Crazy Rich Asians กลุ่มนี้
หลังจากดูจบทั้ง 8 ตอน สามคำที่คิดได้ในใจคือ รวย เป็น บ้า ความหมายแรกก็คือโอ้โห…รวยกันจัง กับอีกความหมายก็คือ อื้อหือ…รวยจนเหมือนเป็นบ้าเลยนะ เพราะสารพันปัญหาที่อยู่ในแต่ละเอพิโสดเหมือนเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วในชีวิตคนธรรมดาอย่างเรา แต่ก็เถอะนะ นี่คือเรียลิตี้ชีวิตของอภิมหาเศรษฐีเอเชียนี่นา ทุกข์ของเขากับทุกข์ของเราไม่เหมือนกัน ว่าแล้วเลยขอพาไปสำรวจความทุกข์อย่างมีระดับของพวกเขากันดีกว่า
(*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาอันเวอร์วังของเรื่อง)
สมรภูมิสงครามทางสังคม
มีกลุ่มคนอยู่เพียงน้อยนิดที่อยู่บนจุดสูงสุดของยอดปิรามิดทางสังคมจะเลือกคบเพื่อนที่คุยเรื่องเดียวกัน มีประสบการณ์คล้ายๆ กันก็คงมีไม่มาก ความสัมพันธ์ฉันมิตรของคนกลุ่มนี้จึงมีหลายระดับ และบ่อยครั้งก็ออกแนว Frenemy (เพื่อนที่กึ่งรักกึ่งชัง) ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันได้ แต่ฉันก็ไม่ชอบขี้หน้าเธอ และพร้อมจะฉีกหน้าเสมอเมื่อสบโอกาส ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ Christine Chiu เธอมีสามีเป็นทายาทราชวงศ์ซ่ง ถ้าจีนยังมีระบบจักพรรดิ สามีก็คงได้เป็นฮ่องเต้ ส่วนเธอนั้นก็ไม่พ้นตำแหน่งฮองเฮา…ว่าซั่นนน แต่ในแวดวงสังคมเศรษฐีเอเชียในแอลเอดันมีฮองไทเฮาที่ร้างการพบปะราษฎรไป 10 ปี อย่าง Anna Shay เมื่อเธออยากทวงบัลลังก์คืน สงครามทางสังคมจึงปะทุขึ้น ถ้าเป็นเรา ไม่ชอบหน้ากันก็อย่ามาเจอกันเลย แต่ก็เห็นทั้งสองฝ่ายไปปรากฏกายในปาร์ตี้ของกันและกัน พร้อมทั้งห่มเครื่องประดับไฮจิวเวลรีฟาดกันไปมา บทสนทนาที่ดูเหมือนคุยกันฉันมิตร ก็ต้องมีเรเฟอเรนซ์แบรนด์เนมว่าฉันเจ๋งกว่า เอ็กซ์คลูซีฟกว่า
ดังนั้นถ้าอยากสร้างบาดแผลในสงครามนี้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือลดระดับทางสังคมของอีกฝ่าย อย่างที่ Anna จัดที่นั่งให้ Christine ไปอยู่ที่ปลายโต๊ะ อันเป็นที่รู้กันตามธรรมเนียมว่าเป็นที่นั่งของแขกที่ไม่สำคัญ หรือ Christine พูดถึงชุดที่ Anna ใส่ว่าถือเป็น Ready to Wear จาก Dior (นัยว่าปกติฉันใส่แต่กูตูร์) ที่ใส่แล้วพอดี นี่แหละที่เจ็บปวดยิ่งกว่าโดนตบเสียอีก
รวยแค่ไหน แต่ยังไงก็ยังเป็นคนเอเชีย
ผู้เขียนคิดว่าเสน่ห์ที่ชวนให้อมยิ้มของ Bling Empire ก็คือความย้อนแย้ง เพราะแม้ว่าแต่ละคนจะเติบโตมากับวัฒนธรรมตะวันตก แต่ความเชื่อ พิธีกรรม และธรรมเนียมแบบเอเชีย ก็ยังมีผลกับชีวิต เอาเป็นว่ากว่าครึ่งหนึ่งของซีรีส์จะต้องมีการพูดเรื่องภูติผี หมอดู คนทรง และการกลับชาติมาเกิด รวมทั้งศาสนาพุทธอันเป็นศาสนาที่สอนให้รู้จักละวางสิ่งปรุงแต่ง แต่เราก็ได้เห็น Kane Lim นั่งทำสมาธินับลูกประคำด้วยมือที่มีแหวนเพชรใส่ครบทั้ง 5 นิ้ว!
ในขณะที่ Christine ดูเป็นสาวสังคมสุดฟู่ฟ่า แต่ก็หนีไม่พ้นความคาดหวังให้มีลูกสืบสกุลตามธรรมเนียมจีน แม้จะได้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาแล้ว แต่เมื่อสามีอยากได้ลูกอีกคน เราจึงได้เห็นฉากที่เธอไปเยี่ยมลูกในอนาคต นั่นก็คือตัวอ่อนในลังไนโตรเจน เป็นฉากที่ดูแล้วแปลกประหลาดและขำขันไปพร้อมๆ กัน หรืออย่างคู่ของ Cherie Chan และ Jesse Lee ที่อยู่กินด้วยกันจนมีลูกสองคน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้แต่งงาน เรื่องเหล่านี้ค่อนข้างเป็นเรื่องปกติของคนตะวันตก แต่เมื่อมองจากคนเอเชียด้วยกันก็ไม่พ้นคำครหา อย่างที่ Christine พูดกันตรงๆ แบบฝรั่งๆ ต่อหน้า Cherie ว่า “ถ้าฉันท้องก่อนแต่งนะ แม่ต้องเรียกฉันว่าอีร่านแน่ๆ”
รวยอย่างเดียวทำไม่ได้นะ ต้องโง่ด้วย…จริงเหรอ?
Bling Empire ทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินไปกับการใช้เงินซื้อความสุขของเหล่ามหาเศรษฐี และมีอยู่หลายฉากที่ดูเหมือนใช้เงินแบบโง่ๆ แต่นั่นมันโง่จริงเหรอ? ไม่หรอก ก็ในเมื่อมีเงินมาก มาตรฐานก็สูงขึ้นตามไปด้วย แค่ดีกว่ายังไม่พอ มันต้องดีที่สุด เก๋ที่สุด เด่นที่สุด ยิ่งถ้าฉันคนเดียวที่มีได้หรือทำได้นั่นแหละคือเยี่ยมสุดๆ ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่เราจะได้เห็นเสื้อผ้าบนรันเวย์หรือสินค้าไฮแบรนด์ที่เคยแอบรำพึงในใจว่า “ชิ้นนี้ใครจะซื้อวะ” มาปรากฏในเรียลิตี้นี้ หรือแม้กระทั่งการซื้อกระเพาะปลาราคา 300,000 บาท ไปทำซุปบำรุงครรภ์ให้เมียกินก็เป็นเรื่องปกติ
นอกจากนี้ระดับมหาเศรษฐีอย่างพวกเขายังสรรหาเรื่องจัดงานปาร์ตี้ในทุกวาระโอกาสที่จะนึกได้ ทั้งตรุษจีน ไหว้พระจันทร์ วันชาติสิงคโปร์ ไปจนถึงวันอายุครบ 100 วันของเด็กแรกเกิด! และก็ยอมตำเงินจ่ายค่าสถานที่จัดงานชนิดที่ถ้าไม่บ้าพอ ก็คงไม่ใครยอมจ่าย แต่เพื่อความเป๊ะปังอลังเวอร์ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา สถานะทางสังคมนี่สิเรื่องใหญ่
หรือชีวิตนี้จะไม่มีอะไรตื่นเต้นแล้ว?
ขณะที่คนธรรมดาอย่างเราต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ แต่สำหรับคนที่มีเงินล้นฟ้าเขาเลือกสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับตัวเอง เปรียบเทียบง่ายๆ อย่าง Kevin นายแบบเกาหลีผู้เป็นแกะดำมาทั้งชีวิตเพราะเป็นคนเอเชียแค่ไม่กี่คนในเมืองเล็กๆ ก็เข้ามาอยู่ในกลุ่มเศรษฐีได้เกือบกลมกลืน แม้จะไม่รวยเท่า แต่ก็สร้างคาแรกเตอร์บางอย่างที่ทำให้เขาไม่ได้หล่นหายไปจากกลุ่ม ขณะที่ Anna เลือกคนที่ถูกชะตาเข้ามาในชีวิตแบบที่เธอยื่นไมตรีให้ Kelly ด้วยการพาไปเลี้ยงวันเกิดในร้านโปรดของเธอเอง แต่ร้านดันอยู่ที่ฝรั่งเศสนี่สิ มันก็เลยพ่วงตั๋วเฟิสต์คลาส และห้องพักเพรสสิเดนต์สวีตเข้าไปด้วย ยังไม่นับรวมแหวนเพชรแห่งมิตรภาพที่ซื้อให้เพื่อนแบบง่ายๆ อย่างกับหยอดมาได้จากตู้กาชาปอง! ป๊าดดด แต่แล้วก็เกิดเรื่องดราม่าขึ้นจนได้ เมื่อเธอดันเห็นความมะริงกิงกอง มะรองงองแงง ของแฟน Kelly เลยจัดแจงหาผู้ชายให้เพื่อน ซึ่งน่าจะสร้างความอภิรมย์ใจให้กับเธอได้มากกว่า
ความจริง Anna ดูเป็นเศรษฐีที่น่าสงสาร เพราะผ่านประสบการณ์ความรวยขั้นสุดมาแล้วทุกรูปแบบ ใส่เครื่องเพชรเล่นโยคะก็แล้ว แจก Rolex ให้แขกที่มาร่วมปาร์ตี้ที่บ้านก็แล้ว ก็ยังไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้น แต่กลับสนุกกับการได้ลองเป็นแอร์โฮสเตสบนเครื่องบินไปซะงั้น เรียกว่าสุขล้นจนอยู่ไม่สุข เลยไปหาเรื่องสนุกด้วยการไปสวมชีวิตคนอื่น ช่างน่าสงสารเหลือเกิน
แม้ Bling Empire จะได้คะแนนวิจารณ์ไม่สู้ดี แต่คิดว่านี่คือเรียลิตี้ซีรีส์กระแสแรงในเอเชีย ด้วยความที่มีพื้นฐานทางวัฒนธรรมร่วมกันจึงเก็ตหลายๆ มุกที่ฝรั่งอาจจะไม่เก็ต สำหรับผู้เขียนนี่คือความหฤหรรษ์ในช่วงกักตัว ขนาดที่ทำให้หายเครียดเพราะลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งรอบใหม่ไม่ทันเลยทีเดียวเชียว
ภาพ: Courtesy of Netflix
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล