วันนี้ (7 มกราคม) แสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม รองโฆษกพรรคกล้า กล่าวตั้งข้อสังเกตถึงวัคซีนโคโรนาแวคล็อตแรก 200,000 โดส สำหรับผู้ที่ทำงานภาคสนามพื้นที่ควบคุมสูงสุด 20,000 คน และกลุ่มเสี่ยงอีก 180,000 คน ที่จะเข้ามาช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ว่า เหลืออีกแค่ประมาณเดือนเดียวหรือไม่ถึงเดือนแล้ว นั่นหมายความว่า รัฐต้องเร่งเตรียมตัววางระบบบริหารจัดการกระจายฉีดวัคซีนให้มีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้นอาจรั่วไหลนำไปฉีดให้บุคคลกลุ่มอื่นที่ไม่จำเป็นสูงสุด จึงฝากไปยังนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เร่งจัดทำระบบการลงทะเบียนล่วงหน้า บันทึกเลขบัตรประชาชน สำหรับบุคคลที่อยู่ในข่ายที่จะได้รับวัคซีนรอบแรก เพื่อให้การใช้วัคซีนทุกขวดเป็นไปอย่างคุ้มค่าไม่ตกหล่น
“ภาครัฐต้องคิดโดยด่วน เพราะถ้าถึงเวลาที่วัคซีนเข้ามาแล้วแต่ระบบบริหารจัดการไม่รองรับ อาจทำให้การฉีดวัคซีนต้องล่าช้าออกไปอีก หรือไม่ก็เสี่ยงอาจรั่วไหลไปฉีดให้กับบุคคลกลุ่มอื่นที่ยังไม่จำเป็น ดังนั้นภาครัฐต้องจัดการระบบรองรับการฉีดวัคซีนเป็นการเฉพาะ กติกาต้องชัด ให้คนที่มีความเสี่ยงมากกว่าก่อน ป้องกันเส้นใหญ่ และจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการวัคซีนในล็อตต่อๆ ไป สร้างโอกาสให้คนไทยทุกคนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม สร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศ” แสนยากรณ์ กล่าว
รองโฆษกพรรคกล้ายังตั้งข้อสังเกตถึงกรณีที่ ศบค. แถลงถึงการบังคับใช้กฎหมายหากพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่มีแอปพลิเคชัน ‘หมอชนะ’ ว่า อยากให้มีการกำหนดกรอบระยะเวลาให้ชัด เพื่อให้เวลากับประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างครบถ้วน เพราะเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยเวลาสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน อาจจะมีเวลาให้ประชาชนเตรียมความพร้อมระยะหนึ่ง รวมถึงเป็นห่วงการบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มบุคคลที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ เพราะคนอีกส่วนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้ และคนเหล่านี้ไม่ได้มีเจตนาทำผิดหรือละเมิดกฎหมาย แต่ไม่อาจทำตามได้เพราะความจน หากไม่มีการยืดหยุ่นอาจทำให้เกิดปัญหาใหม่ซ้ำซ้อนได้ จึงขอให้มีการกำหนดกติกาเป็นการเฉพาะกับคนกลุ่มนี้
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า