หลังจากตลาดหุ้นไทยดิ่งลงแรงเมื่อ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยดัชนี SET ติดลบไปถึง 80.60 จุด ก่อนที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงต่อในช่วงเช้าวันนี้ ไปแตะระดับต่ำสุดที่ 1,388.23 จุด แต่หลังจากนั้นก็เริ่มรีบาวด์กลับมาได้ ล่าสุด ดัชนี SET ปิดที่ 1,424.39 จุด เพิ่มขึ้น 22.61 จุด จากวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.7 หมื่นล้านบาท โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 1,428.11 จุด
ด้านนักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงเป็นผู้ขายสุทธิต่อเนื่องอีก 2.559 พันล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2.014 พันล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนทั่วไปในประเทศที่ซื้อสุทธิ 417 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 126 ล้านบาท
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ปรับตัวขึ้นโดดเด่นในวันนี้ คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ +4.21%, กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ +3.45%, กลุ่มปิโตรเคมี +3.31%, กลุ่มธนาคาร +2.89%, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ +2.37% และกลุ่มพลังงาน +1.77% โดยหุ้นที่ช่วยหนุนดัชนี SET มากที่สุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ บมจ.ปตท. หรือ PTT ปิดที่ 41.25 บาท +1.85%, บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ปิดที่ 378 บาท +4.71% และ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK ปิดที่ 115 บาท +4.55%
ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ทิศทางของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะเป็นลักษณะของการแกว่งตัวออกข้าง ขณะที่การฟื้นตัวในวันนี้เป็นลักษณะของการรีบาวด์ทางเทคนิค (Technical Rebound) หลังจากที่ตลาดปรับฐานค่อนข้างแรงเกินไปเมื่อ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งติดลบไป 80 จุด จากความกังวลต่อการล็อกดาวน์ แต่ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ไม่ได้เร่งตัวขึ้นมากนัก จึงเห็นแรงซื้อกลับ
“โดยภาพรวมคิดว่าตลาด (SET) ไม่น่าจะไปไหนได้ไกลมาก คาดว่าดัชนี SET น่าจะวิ่งอยู่ในกรอบ 1,400-1,450 จุด สำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากใกล้จะเข้าสู่วันหยุดยาว จึงไม่น่าจะเห็นฟันด์โฟลวเข้ามาช่วยผลักดัน ส่วนการฟื้นตัวในวันนี้เป็นแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่มแบงก์และพลังงาน ซึ่งเป็นสองกลุ่มหลัก หลังจากที่เริ่มคลายความกังวลลงมาบ้างในเรื่องของโควิด-19 ระลอกใหม่”
สำหรับหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BANK) ซึ่งปรับตัวขึ้นสูงสุดกว่า 3% ในวันนี้ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ยังคงให้น้ำหนักลงทุน ‘มากกว่าตลาด’ โดยมองเป็นหุ้นกลุ่มที่มีโอกาสฟื้นตัวได้ดีในปี 2564 หลังผ่านพ้นช่วงเร่งตั้งสำรองไปมากแล้ว และแนวโน้ม NPL ที่เพิ่มขึ้นในระดับที่บริหารจัดการได้ ขณะที่หากเกิดการระบาดครั้งใหม่ เรามองว่าแบงก์จะไม่เร่งตั้งสำรองขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เพราะมีระดับ Coverage Ratio อยู่ในระดับที่แข็งแรงขึ้นจากเดิม
อีกทั้งปัจจุบันแบงก์มีข้อมูลของลูกค้าในกลุ่มเสี่ยงมากขึ้น ทำให้มีความสามารถในการติดตามและประเมินสถานะเพื่อให้การช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม โดยเรายังแนะนำ บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม ด้วยราคาพื้นฐาน 151 บาท คาดกำไรฟื้นตัวได้ดีเทียบกับแบงก์ใหญ่อื่นๆ หนุนจากการรวมงบของ Permata เข้ามาเต็มปีเป็นครั้งแรก ขณะที่ฐานกำไรปี 2563 ที่ต่ำจากการเร่งตั้งสำรองก้อนใหญ่ และบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ Permata ล่วงหน้า และพอร์ตสินเชื่อมีความเสี่ยงน้อยกว่ากลุ่ม เนื่องจากมีสัดส่วนลูกหนี้ SMEs และรายย่อยต่ำ
ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า สำหรับหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี คงมุมมองแนวโน้มกำไรปกติกลุ่มฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2564-2565 คาดเพิ่มขึ้น 194% และ 27% ตามลำดับ จากอัตรากำไรที่ฟื้นตัวของทั้งกลุ่ม ตามราคาขายเฉลี่ย ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ และปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นของอุปสงค์
อย่างไรก็ตาม จากราคาหุ้นในกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นเร็วจนส่วนใหญ่เต็มมูลค่าพื้นฐานปี 2564 และบางส่วนขึ้นไปรับความคาดหวังการฟื้นตัวกลับไปก่อนช่วงโควิด-19 จึงแนะนำให้ติดตามความเสี่ยงของการกลายพันธุ์เชื้อโควิด-19 หากไม่ใช่เพียงแพร่เร็วขึ้น แต่ทำให้อาการรุนแรงขึ้น และวัคซีนที่พัฒนาอยู่ไม่สามารถป้องกันได้ อาจส่งให้กลุ่มมีแรงกดดัน ทั้งนี้เราคงหุ้นเด่นเป็นกลุ่มต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันดิบฟื้นตัวเร็วสุด
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล