จิงจิง-วริศรา ยู (Jingjing Yu) นางแบบไทยที่กำลังไปได้สวย และดูเหมือนว่าจะฮอตสุดๆ กับการทำงานที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ทีมงาน THE STANDARD มีโอกาสได้สัมภาษณ์จิงจิงหลังจากใช้ชีวิตเป็นนางแบบที่โซลมาเกือบปี เพื่อสอบถามวัฒนธรรมการทำงาน และความกดดันในด้านต่างๆ ทั้งเรื่องราวการทำงานที่เปลี่ยนไป การใช้ชีวิต เริ่มตั้งแต่เริ่มงานที่ไทยจนถึงจุดเปลี่ยนที่ได้ไปโด่งดังที่กรุงโซล เกาหลีใต้
ทำไมถึงได้มาเป็นนางแบบ และทำไมถึงตัดสินใจไปเป็นนางแบบที่โซล?
“ตอนแรกจิงจิงเป็นแดนเซอร์ตั้งแต่อายุ 12-13 ได้ แล้วเริ่มทำงานโฆษณาเกี่ยวกับการเต้น และพออายุ 15 พอดีก็มีคุณครูท่านหนึ่งแนะนำให้ลองไปประกวด Thai Supermodel Contest ปี 2012 จนได้ที่ 1 กับรางวัลเสริม 2 รางวัล จากนั้นก็เริ่มทำงานนางแบบเลย
“จิงจิงได้ไปอยู่กับพี่เอ เจ้าของเอเจนซีชื่อ Kiss Model เพราะพี่เอบอกไว้ตั้งแต่ตอนประกวดแล้วว่า ถึงไม่ชนะก็ไม่เป็นไรมาอยู่กับเขาได้ เราก็เลยตัดสินใจที่จะอยู่กับ Kiss Model มาตั้งแต่ตอนนั้น พออายุได้ประมาณ 19 ปีก็อยากลองมาทำงานต่างประเทศดูบ้าง ซึ่งจริงๆ ถ้าสามารถย้อนอ่านหรือดูสัมภาษณ์ต่างๆ ตอนอายุ 15 จิงจิงก็จะตอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าอยากไปทำงานต่างประเทศ เพราะนี่คือความฝัน อีกอย่างรู้สึกว่าเกาหลีจะทำให้เราไปไกลมาก และคิดว่าวงการแฟชั่นที่โซลน่าจะชอบลุคเรามากกว่า เราเองก็เป็นคนที่ชอบเที่ยวเกาหลี ชอบดูซีรีส์เกาหลีมากอยู่แล้ว พอไปบ่อยๆ เข้าก็ได้รู้จักกับนางแบบที่นั่น แล้วเริ่มคิดอยากลองไปทำงานที่นั่นดู จนสุดท้ายก็ได้พี่ที่สนิทคนหนึ่งนี่แหละที่คอยช่วยประสาน ช่วยติดต่อ จนได้เข้าสังกัด ESteem”
ในการทำงานร่วมกับทีมงานแฟชั่นที่โซล เขามีระบบการทำงานเป็นอย่างไรบ้าง?
“ส่วนใหญ่แล้วที่ ESteem จะเป็นนางแบบเกาหลีหมดเลยนะ มีแค่จิงจิงกับพี่คนไทยที่เป็นนางแบบต่างชาติสองคนแรกของเขา เรื่องงานพอเขาเห็นว่าเราเคยทำงานมาแล้วก็ไม่ต้องสอนอะไรเพิ่ม แต่ที่ต้องปรับตัวก็เพราะที่นี่ทำงานซีเรียสมาก เขาทำงานแข่งกับเวลา สมมุตินัดเรา 9 โมงเช้า เขาจะบอกเลยว่าเวลานี้ต้องแต่งหน้าเสร็จ เวลานี้งานต้องเสร็จ ทุกอย่างต้องเป๊ะๆๆ อีกอย่างคือแคสติ้งที่นี่กดดันมากๆ เพราะการแข่งขันมันสูงมาก แคสต์งานหนึ่งนางแบบ 40-50 กว่าคน ถ้ารวมนายแบบผู้ชายด้วยก็เป็นร้อยคนเลย ช่วงที่มาใหม่ๆ ปีที่แล้ว จิงจิงเครียดมากเลยนะว่าจะมีงานเข้ามาไหม แต่พอได้ไปเดินโซลแฟชั่นวีก งานก็เข้ามาเรื่อยๆ ดีใจมาก ถึงตอนนี้ถ่ายนิตยสารครบทุกเล่มแล้ว ได้ถ่ายโฆษณา 8seconds กับ Nonagon สองแบรนด์ใหญ่ของเกาหลีด้วยนะ”
มีปัญหาเรื่องการแข่งขันอะไรบ้างไหมในวงการแฟชั่นโมเดลที่โซล?
“เท่าที่เจอในวงการก็ไม่มีนะคะ ตอนที่เราเจอนางแบบรุ่นพี่ เขาก็มาเล่นมาคุยกันปกติ เพราะทุกคนรู้ว่าการทำงานก็คือการทำงาน หรืออย่างผู้จัดการเขาซีเรียสว่าอยากให้เราอยู่ที่นี่นานๆ อยากให้พูดภาษาเกาหลีให้ได้ เพราะมองเห็นว่าเราจะไปทำอะไรได้หลายอย่าง อย่างเขารู้ว่าจิงจิงชอบเต้น เขาก็หางานที่เกี่ยวกับการเต้นมาให้ด้วย ซึ่งเราก็แฮปปี้มากเลย”
Seoul Fashion Week ที่เพิ่งผ่านไปได้เดินโชว์อะไรบ้าง และประทับใจอะไรในการทำงานปีนี้
“ปีนี้ได้เดินของ Fleamadonna, Supercomma B, Abell, JWL, PushBUTTON, Low Classic, Kye Noke และ Ych แต่ก็จะมี 5 แบรนด์ที่เขาเลือกเราเลยโดยที่ไม่ต้องไปแคสติ้งซึ่งเราก็รู้สึกดีมาก เขาคงเห็นว่าเรามีชื่อเสียงขึ้นและคนรู้จักเราเยอะขึ้นเลยไม่ต้องแคสต์เราซ้ำอีกรอบ และของแบรนด์ Low Classic เราก็ได้เป็นแบบถ่าย lookbook ส่วนที่ประทับใจที่สุดเลยก็เห็นจะเป็นแบรนด์ Abell เพราะเขาเลือกให้เราเดินมา 2 ซีซันติด โดยให้เราเป็นคนเดินเปิดและปิดโชว์ด้วยค่ะ”
การทำงานที่โซลทำให้เราเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง และหวังจะไปต่อในวงการนางแบบที่นั่นอย่างไร
“เรารู้สึกว่าตัวเองมีแอตติจูดการแสดงออกทางอารมณ์ และการโพสเราเก่งขึ้นดีขึ้นเรื่อยๆ อันนี้รู้สึกจริงๆ มันอาจจะเป็นเพราะเราได้ทำงานกับคนเก่งๆ ได้ใช้ทักษะทุกวันเราเลยรู้ว่าควรจะโพสอย่างไร และรู้ว่าคนที่เราทำงานด้วยอยากได้อะไร มันเหมือนเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นเองโดยที่เราไม่รู้ตัว และถ้าถามว่าอยากทำงานที่นี่ต่อไหม ก็อยากนะ ตอนนี้ทางโมเดลลิ่ง ESteem ก็ถามว่าอยากมาเรียนต่อที่นี่ไหม จะได้ทั้งภาษาและได้ทั้งงานที่โซลด้วย เราเลยอยู่ในช่วงที่กำลังตัดสินใจถามครอบครัวและเอเจนซีทางนี้อยู่ ว่าจะจัดการอย่างไรดี แต่ตัวเราจริงๆ แล้วก็อยากอยู่และทำงานที่โซลเหมือนกัน”
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของนางแบบไทย ที่เดินตามฝันของตัวเองได้ ด้วยความตั้งใจและความพยายาม เราคิดว่านางแบบที่ชื่อ จิงจิง ยู คนนี้จะต้องไปได้ไกลกว่ากรุงโซลอย่างแน่นอน ทีม THE STANDARD ขอเอาใจช่วยทุกก้าวของความสำเร็จ