คริสเตียโน โรนัลโด (Cristiano Ronaldo) รักษาตำแหน่งศูนย์หน้าที่อันตรายที่สุดในยุโรปได้อีกครั้ง ด้วยการเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ยิงได้มากกว่า 50 ประตูในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก (โรนัลโดยิงไปทั้งหมด 54 ประตู) 8 ประตูจาก 2 แฮตทริกในรอบ 8 ทีมสุดท้ายและรอบรองชนะเลิศ
และยิงไปแล้ว 105 ประตูในศึกฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก
สถิติเป็นตัวบ่งชี้ว่าโรนัลโดในวัย 32 ปี ยังคงเป็นศูนย์หน้าที่อันตรายที่สุดในยุโรป
แต่กว่าโรนัลโดจะก้าวข้ามมาถึงจุดนี้ได้ เขาถูกวิจารณ์ว่า ด้วยอายุที่มากขึ้น โรนัลโดจะไม่สามารถเป็นปีกความเร็วสูงที่ฉุดกระชากพากองหลังไปขึ้นรถทัวร์นครชัยแอร์สัก 2 ทริป แล้วค่อยหักเข้ามายิงระยะไกลได้เหมือนอย่างเคย
คำถามคือ ทำไมโรนัลโดในวันนี้ถึงยังยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำ และทำลายสถิติฟุตบอลยุโรปได้อย่างต่อเนื่อง
การวางหมากของ ซีเนดีน ซีดาน
ปัจจัยสำคัญที่สร้างโรนัลโดและเรอัล มาดริดในฤดูกาลนี้คือการวางหมากของ ซีเนดีน ซีดาน กุนซือของสโมสร และการปรับตัวของโรนัลโด
ในฤดูกาลนี้ซีดานให้โรนัลโดเข้ามาอยู่หน้ากรอบเขตโทษมากขึ้น และให้นักฟุตบอลรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง มาร์โก อเซนซิโอ ออกไปทำหน้าที่สร้างความตื่นเต้นริมเส้นแทน
ขณะที่โรนัลโดมีความเด็ดขาดในการยิงประตูจากทั้ง 2 เท้าและจากการโหม่ง
ผลที่ตามมาคือโรนัลโดสามารถนำสัญชาตญาณนักล่ามาใช้หน้ากรอบเขตโทษแทนการลากเลื้อยเข้าไปทำประตู
ซึ่งฤดูกาลนี้โรนัลโดยิงไป 37 ประตู โดย 33 ประตูมาจากการยิงในกรอบเขตโทษ
ขณะที่สถิติการสัมผัสบอลของเขาตลอด 90 นาทีลดลงอย่างต่อเนื่อง
ฤดูกาลแรกกับเรอัล มาดริด ในปี ค.ศ. 2009-2010 เขาสัมผัสบอล 72.1 ครั้ง แต่ในฤดูกาลนี้เขาสัมผัสบอลเพียง 47.2 ครั้งเท่านั้น
ตรงข้ามกับสถิติการสัมผัสบอลคือ เปอร์เซ็นต์การยิงประตูในกรอบเขตโทษที่เพิ่มขึ้นจาก 85.3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อปี ค.ศ. 2012-2013 ปีนี้เขายิงประตูในกรอบเขตโทษได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์
หากคุณเป็นโค้ชฝั่งตรงข้าม แน่นอนว่าคุณต้องการให้นักเตะของคุณไล่ประกบโรนัลโดอย่างน้อยหนึ่งหรือสองคน
นี่คือสิ่งที่ ดิเอโก ซิเมโอเน ของแอตเลติโก มาดริด และคาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือบาร์เยิร์น มิวนิกได้ทำ แต่ผลออกมาคือทั้งสองทีมต่างโดนโรนัลโดยิง 2 แฮตทริก รวมกัน 8 ประตูในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายและรอบรองชนะเลิศ
และในนัดชิงชนะเลิศเขาสามารถยิงเพิ่มได้อีก 2 ประตู โดยแทรกผ่านแนวรับที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในยุโรปของยูเวนตุส และพาทีมป้องกันแชมป์ยูฟ่าได้สำเร็จเป็นสโมสรแรกในประวัติศาสตร์
ความเป็นมืออาชีพของคริสเตียโน โรนัลโด
โรนัลโดเป็นตัวอย่างของนักฟุตบอลที่มีความเป็นมืออาชีพสูง เขารู้ว่าต้องกินอะไรตอนไหนเพื่อรักษาสภาพร่างกายของเขาให้เต็มร้อยเสมอ ครั้งหนึ่งโรนัลโดเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาอยากจะเล่นฟุตบอลจนถึงอายุ 41 ปี
ซึ่งหากดูจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ ก็ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เห็นเขาโลดแล่นในเวทีสูงสุดของฟุตบอลยุโรปไปอีกสักพัก
ปี 2006-2008 การเติบโตจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ของโรนัลโด
ฟุตบอลโลกปี ค.ศ. 2006 เป็นฟุตบอลโลกที่ไม่น่าจดจำเท่าไรของแฟนบอลปีศาจแดงและโรนัลโด ซึ่งขณะนั้นยังเป็นดาวรุ่งที่เน้นโชว์ฝีเท้าสับขาหลอกคู่แข่งแต่ไม่สามารถสร้างผลงานได้เป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งในรอบ 8 ทีมสุดท้ายโปรตุเกสโคจรมาพบอังกฤษ โดย 2 นักเตะของปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างเวย์น รูนีย์ และโรนัลโด ต้องลงสนามในฐานะคู่แข่ง
ผลในครั้งนั้นโปรตุเกสชนะจุดโทษไป 3-1 พร้อมกับใบแดงของรูนีย์ ที่โรนัลโดมีส่วนในการวิ่งไปกดดันกรรมการให้มอบใบแดงให้กับเพื่อนร่วมทีมของเขา และส่งสัญญาณกับทีมโปรตุเกสด้วยการกะพริบตาข้างเดียว
ซึ่งหลังจากเกมนั้นสื่ออังกฤษต่างก็โจมตีโรนัลโดกันอย่างพร้อมหน้า รวมถึงเชื่อว่าอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เห็นโรนัลโดในเกาะอังกฤษ หลังจากการกระทำใส่เพื่อนร่วมทีมของเขาและทีมชาติอังกฤษ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามรูนีย์ได้ให้สัมภาษณ์อย่างต่อเนื่องว่าทั้งคู่ไม่มีปัญหากันและพร้อมที่จะลงเล่นด้วยกันอีกครั้ง รวมถึงแกรี เนวิลล์ กัปตันทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ยอมรับว่า วันที่โรนัลโดเดินทางกลับเข้าแคมป์ทีมชาติอังกฤษนั้น ร่างกายของโรนัลโดได้เติบโตจากเด็กเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัวแล้ว
“สภาพร่างกายของโรนัลโดเปลี่ยนจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ ครั้งสุดท้ายที่ผมเจอเขา เขาเป็นเพียงเฟเธอร์เวธ แต่เขากลับมาในรูปร่างแบบไลต์เฮฟวีเวต ซึ่งครั้งนั้นได้ช่วยให้เขาพบกับพละกำลังที่โรนัลโดไม่เคยมีมาก่อน”
และในฤดูกาล 2006-2007 นั้นเองที่เราได้เห็นโรนัลโด 2.0 เขายังคงเลี้ยงบอลอย่างสวยงาม แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือพละกำลังอันมหาศาล ทั้งการเล่นที่ดุดันขึ้นและเน้นการทำประตูมากกว่าการโชว์ฝีมือการเลี้ยงบอลของเขา
“วันแรกที่เขามาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาเป็นเด็กที่ชอบโชว์ เขาต้องการโชว์ฝีมือ ทักษะของเขา ด้วยการพยายามเลี้ยงผ่านกองหลัง” ริโอ เฟอร์ดินานด์ อดีตนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แต่แล้วเขาก็เริ่มรู้ว่าสิ่งสำคัญที่จะพาเขาเข้าสู่นักเตะที่ดีที่สุดในโลกคือการยิงประตู และเป็นนักเตะที่สามารถเปลี่ยนแปลงเกมได้ และสุดท้ายโรนัลโดก็ผลักดันตัวเองจนเป็นแบบนั้นได้
จุดเริ่มต้นของเครื่องจักรสังหารประตู
ตั้งแต่ตัดสินใจย้ายมาร่วมทีมปีศาจแดงในปี ค.ศ. 2003 ทุกฤดูกาลโรนัลโดจะพนันกับ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมด้วยเงินหนึ่งร้อยปอนด์ว่าเขาจะสามารถยิงได้กี่ประตูในฤดูกาลนั้น
โรนัลโดแพ้พนันเมื่อปี ค.ศ. 2004-2005 ก่อนที่ยอดประตูจะขึ้นไปเป็น 15 ประตูในปี ค.ศ. 2005-2006 ซึ่งเขาก็แพ้อีก
ในปี ค.ศ. 2006-2007 เซอร์อเล็กซ์ตัดสินใจเลิกพนันเนื่องจากได้ติดต่อกันมาหลายปี แต่โรนัลโดในปีนั้นก็เพิ่มเงินพนันเป็น 400 ปอนด์ และชนะการพนันเป็นครั้งแรกในปีนั้น ถือเป็นจุดสิ้นสุดแผนการกระตุ้นของเซอร์อเล็กซ์ในฤดูกาลนั้น
โรนัลโด 3.0
ถึงแม้ว่าการพนันและถ้วยรางวัลต่างๆ ที่โรนัลโดคว้ามาได้ในปี ค.ศ. 2006-2007 โรนัลโดก็ยังไม่พอใจกับฟอร์มการเล่นของเขา ประกอบกับ เรเน มูเลนสตีน กลับคืนโอลด์แทรฟฟอร์ดในปีนั้นในฐานะโค้ชทีมชุดใหญ่ของปีศาจแดง
ปีนั้นเรเนได้จัดการอบรมเทคนิคครั้งใหญ่ให้กับโรนัลโด โดยเฉพาะในเรื่องของการยิงประตู
“ผมได้ดูทุกประตูของคุณแล้วนะ คุณยิงไปเพียง 23 ประตู เพราะว่าคุณต้องการประตูที่ดีที่สุด แต่นักเตะที่ดีที่สุดต้องเป็นคนที่ช่วยยกระดับทั้งทีมไม่ใช่แค่ตัวเขาเอง คุณลองยกระดับทีมดูสิ และทีมจะช่วยยกระดับคุณ”
ทั้งคู่ร่วมงานกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งศึกษาวิดีโอของศูนย์หน้าระดับตำนานอย่างอลัน เชียเรอร์ และเทียร์รี อองรี เพื่อพัฒนาศักยภาพการยิงประตูของเขา
ปีนั้นเรเนได้ถามโรนัลโดหลังจากร่วมกันฝึกการจบสกอร์ว่า คุณเชื่อว่าจะยิงได้กี่ประตูในฤดูกาลปี ค.ศ. 2007-2008 ระหว่าง 30-35 โรนัลโดได้ตอบสั้นๆ ว่า 40 ประตู ซึ่งสิ้นสุดฤดูกาลนั้นเขาพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก โดยยิงไปทั้งหมด 42 ประตู
และมาถึงวันนี้เขาก็ยังคงสามารถทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดทำสถิติเป็นดาวซัลโวสูงสุดของฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกติดต่อกันถึง 5 สมัยตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012-2017 อีกด้วย
Photo: Curto De La Torre, AFP/Profile
ความมุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้ และกระหายชัยชนะอยู่เสมอ
อีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จของโรนัลโดคือความมุ่งมั่น ฟิล เนวิลล์ อดีตเพื่อนร่วมทีมของโรนัลโดเผยว่า สมัยที่ฝึกซ้อมอยู่ด้วยกันที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โรนัลโดมักเอาลูกฟุตบอลไปฝึกซ้อมต่อคนเดียว โดยเน้นไปที่การฝึกเลี้ยงบอลและทริกต่างๆ หลังทุกคนฝึกซ้อมเสร็จ
นอกจากนี้เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตกุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เผยว่า โรนัลโดเป็นนักฟุตบอลที่กล้าหาญที่สุดที่เขาเคยเจอ โรนัลโดมีความมั่นใจในการลากบอลเข้าไปสู่ใจกลางเกมรับของคู่แข่ง และมีความเชื่อมั่นว่าจะสร้างสิ่งเหลือเชื่อให้เกิดขึ้นทุกครั้งที่ลงสนาม
แต่อย่างไรก็ตามความมั่นใจของเขาก็ตามมาด้วยความโอหังที่ทำให้นักข่าวกีฬาจากอังกฤษหลายคนใช้คำพูดว่า
“You’ll love him or you’ll hate him” – คุณไม่ชอบเขา คุณก็เกลียดเขา
ซึ่งโรนัลโดก็มีปัญหากับแฟนบอลหลายครั้ง แถมล่าสุดในเกมที่เขาโดนแฟนบอลเรอัล มาดริด บางกลุ่มผิวปากใส่เนื่องจากไม่พอใจฟอร์มการเล่น
หลังเกม เขากลับขอร้องให้แฟนบอลเหล่านั้นหยุดการกระทำดังกล่าว เนื่องจากเขายืนยันว่าทุกครั้งที่ลงสนามเขาได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว
แตกต่างจากสมัยก่อนที่เรามักจะเห็นเขามีปัญหากับแฟนบอลที่โห่ไล่เขาในสนาม แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่ไม่ใช่เพียงแค่ฝีเท้า แต่ในฐานะนักกีฬาอาชีพคนหนึ่งอีกด้วย
บทเรียนแห่งความลำบากนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เราหลายคนเคยได้ยินมาแล้ว แต่สิ่งที่โรนัลโดยังคงตอกย้ำให้เราเห็นอยู่ทุกวันนี้คือ การกระหายความสำเร็จ
ไม่ว่าเขาจะยิงไปกี่ประตู ทำลายสถิติ หรือคว้ารางวัลไปจนสามารถเปิดพิพิธภัณฑ์ที่บ้านเกิดเขาได้แล้ว
แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เคยตอบสนองความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขาได้เลย
Photo: Javier Soriano, AFP/Profile
หลายคนชอบนำโรนัลโดไปเปรียบเทียบและถกเถียงกันว่า โรนัลโดหรือเมสซี ใครกันแน่คือนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลก
แต่เรื่องนั้นอาจไม่สำคัญ
ขอให้เราสนุกกับความพิเศษที่โลกของฟุตบอลในยุคหลังปี ค.ศ. 2000 ได้มอบให้กับเราดีกว่า
ก่อนที่มันจะหมดไปตามวันเวลา
อ้างอิง:
– www.bbc.com/sport/football/39743922
– www.bbc.com/sport/football/39788520
– www.goo.gl/BDMRCk
– www.theguardian.com/football/2017/may/02/all