Q: เศร้าจังค่ะ เกลียดงานที่ทำอยู่ อยากลาออกก็ลาออกไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจปีนี้ท่าจะแย่ ถ้าลาออกแล้วจะเอาอะไรกิน คงต้องทนอยู่ต่อไปก่อน แต่อยู่ต่อก็เศร้าค่ะ ทำอย่างไรดีคะ
A: ต้องบอกก่อนเลยว่านี่เป็นหนึ่งในคำถามที่คนส่งมาหาผมมากที่สุดในช่วงโควิด-19 มีคนที่อยู่ในวังวนของความรู้สึกไม่ชอบงานที่ตัวเองทำอยู่ แต่ก็รู้สึกว่าลาออกตอนนี้ไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจปีนี้น่าจะโหดอยู่ จะหางานใหม่ก็คงยาก อยากออกก็ไม่ได้ อยู่ต่อก็เจ็บปวด ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า มีหลายคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กับคุณอยู่ครับ อย่างน้อย ณ เวลานี้การมีเงินเดือนเข้ามาหล่อเลี้ยงชีวิตก็อาจจะช่วยให้เราไม่เจอความทุกข์เรื่องความไม่มั่นคงก็ได้ครับ
การเกลียดงานมันมีผลน่ากลัวมากนะครับ พอไม่อยากทำงาน เราก็จะทำงานด้วยความเกลียด งานที่ทำให้บริษัทก็จะไม่มีคุณภาพ พอเราทำงานที่ไม่มีคุณภาพออกไป บริษัทก็ไม่ก้าวหน้า ตัวเราก็ไม่เติบโต แล้วบริษัทก็จะมาบี้ต่อว่าเราทำงานไม่ดี พอโดนบี้ เราก็จะยิ่งเกลียดงานตัวเองอีก ยิ่งรู้สึกไม่ดีกับตัวเองอีก มันก็จะเป็นวงจรอุบาทว์ไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรดีครับ
แล้วยิ่งคุณรู้สึกว่างานนี้ ณ เวลานี้จำเป็นต่อการดำรงชีพของคุณ คุณยิ่งต้องหาทางไม่เกลียดงานให้ได้ครับ เพราะถ้าเกลียดงานแล้วจะทำให้เราทำงานได้ไม่ดี พอทำงานออกมาไม่ดี บริษัทเกิดต้องพิจารณาเลย์ออฟขึ้นมา คนที่ทำงานไม่ดีและคนที่บริษัทดูแล้วว่าไม่มีความอยากทำงานที่นี่ก็คงได้ไปก่อนแน่นอน จบข่าวเลยครับงานนี้
บางคนอาจจะบอกว่าเลย์ออฟก็ดี จะได้แพ็กเกจ อันนั้นก็ไม่เถียงครับว่าบางคนอาจจะได้แพ็กเกจที่ทำให้อยู่รอดไปได้ แต่ถ้ายังหางานใหม่ไม่ได้ หรือไม่ได้อยู่ในจุดที่ไม่ต้องทำงานก็อยู่ได้สบายแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำงานแล้ว การได้แพ็กเกจก็อาจจะเจอความทุกข์ถัดมาคือ แล้วจะทำอะไรต่อล่ะทีนี้ จะหางานใหม่อย่างไรต่อ
ที่ผมอยากบอกอีกอย่างคือ ถ้าเกลียดงานแล้วทำงานแย่ๆ ออกมาเพื่อให้ตัวเองโดนเลย์ออฟและได้รับแพ็กเกจขึ้นมาจริงๆ อยากให้มองถึงผลกระทบที่มีต่อคนอื่นๆ ที่เขาอาจจะทำงานดีเพื่อความอยู่รอดด้วยครับ
แต่บางคนทำงานไม่ดีจนบริษัทไม่รอด แล้วคนที่ทำงานดีก็ต้องโดนเลย์ออฟไปด้วย เพราะบริษัทอยู่ไม่รอด ถ้ามองเห็นมุมนี้ด้วยแล้ว การเกลียดงานและทำงานไม่ดีออกมามันรุนแรงมากกว่าทำร้ายแค่ตัวเราอีกนะครับ
ถูกของคุณครับว่าปีนี้เศรษฐกิจไม่ดี และกว่าจะฟื้นตัวน่าจะต้องใช้เวลายาวทีเดียว คงไม่ใช่แค่ปีนี้แน่ๆ แต่ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากให้มันไม่ดีหรอกนะครับ ทุกคนอยากทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น อยากทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ แต่ก็ต้องใช้เวลา เพราะฉะนั้นการคิดเรื่องลาออกในเวลานี้คงต้องคิดเยอะกว่าเดิมเหมือนกัน
แต่เศรษฐกิจไม่ดีไม่ได้แปลว่าลาออกไม่ได้นะครับ ในแต่ละองค์กรก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว และบางจุดก็คงต้องมองหาคนที่มีความสามารถมาร่วมทัพ ไม่ได้แปลว่าตลาดแรงงานจะไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลยนะครับ มันมีโอกาสอยู่ อาจจะไม่ใช่ตอนนี้ แต่ไม่ได้แปลว่าจบแล้วหรือไม่มีนะครับ
เอาเป็นว่าในระหว่างที่โอกาสนั้นยังไม่มาถึง วิธีคิดหนึ่งที่ควรมีไว้ก่อนเลยก็คือสร้างตัวเราเองให้พร้อม โอกาสมาถึงตอนไหนไม่รู้ แต่เมื่อมันมาถึง เราพร้อมแล้ว ไปต่อได้เลย!
อยากได้งานแบบไหน ลองดูครับว่าคุณสมบัติที่เหมาะกับงานแบบนั้นมีอะไรบ้าง แล้วเราต้องเพิ่มเติมอะไรในตัวเราเองอีก เช่น ทักษะในเรื่องไหนที่เราต้องเติม ก็ไปหาเรียนเพิ่มเติม ไปหาผู้รู้เพื่อซึมซับความรู้และประสบการณ์มาให้ได้ อยากเก่งในเรื่องไหน ให้สร้างโอกาสในการทำมันให้มากขึ้น ฝึกฝนให้มากขึ้น
มองไปข้างหน้า โควิด-19 เปลี่ยนชีวิตพวกเราทุกคนบนโลกจริงๆ นะครับ ลองดูสิครับว่าในสายงานที่คุณทำอยู่หรืออยากทำต่อไปต้องการทักษะแบบไหน แน่นอนว่าทักษะที่เรามีแบบตอนโลกก่อนโควิด-19 ไม่พอใช้แน่นอน เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว พฤติกรรมของผู้คนก็เปลี่ยน ธุรกิจต่างๆ ก็ต้องเปลี่ยนหมด เพราะฉะนั้นคุณมีทักษะที่พร้อมสำหรับโลกในระหว่างโควิด-19 และหลังโควิด-19 หรือยังครับ
เรื่องนี้สำคัญมากนะครับ เพราะไม่ว่าเราจะโอเคกับงานที่ทำอยู่ตอนนี้หรือเกลียดงานที่ทำอยู่ สิ่งที่เราต้องทำเหมือนกันคือเราอยู่แบบเดิมไม่ได้แล้ว ต้องพัฒนาตัวเราโดยด่วน เชื้อโรคมันยังพัฒนาสายพันธุ์ให้แข็งแกร่งกว่าเดิมได้เลยนะครับ ฮ่าๆ
การที่เราโฟกัสที่การพัฒนาตัวเองแบบนี้ล่ะครับจะทำให้เราไม่ได้โฟกัสที่ความเกลียดงาน จากใจที่จดจ่อว่าทำไมงานที่เราทำอยู่มันน่าเบื่อจัง ทำไมชีวิตมันยากเย็น ทำไมงานมันทำร้ายเราอยู่ตลอด เปลี่ยนมาสนใจที่ว่าเราจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นอย่างไรดีกว่า
พอโฟกัสที่การพัฒนาตัวเอง แต่ละวันเราจะเริ่มเจอพัฒนาการของตัวเอง วันนี้เราเรียนรู้อะไรมากขึ้น วันนี้เราได้ฝึกฝนอะไรเพิ่มเติม การที่เราค่อยๆ เห็นตัวเองไปสู่จุดที่ดีกว่าเดิมแบบนี้ล่ะครับทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น เราจะเริ่มชื่นชมตัวเอง ให้กำลังใจตัวเอง ความรู้สึกที่เป็นบวกก็จะเพิ่มเติมเข้ามาในจิตใจของเรา
แทนที่จะปล่อยให้เรื่องลบอยู่เต็มไปหมด ให้เราหาเรื่องบวกมาเติมเข้าไปเรื่อยๆ พอเรื่องบวกเพิ่มขึ้น เราก็จะมีพลังไปจัดการกับเรื่องลบๆ ได้ครับ
แล้วการที่เราพัฒนาตัวเองแบบนี้ มันอาจจะช่วยให้งานที่เราทำอยู่ในปัจจุบันดีขึ้นด้วยก็ได้ครับ มันทำให้เราสามารถจัดการปัญหาที่เผชิญอยู่ได้ดีขึ้น ยิ่งถ้าเรามองว่าสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่คือ ‘ห้องเรียน’ เพื่อการเตรียมตัวไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น การมองความโหดร้ายของงานที่เราเจออยู่จะเปลี่ยนไป เราจะมองว่ามันคือปัญหาที่เอาไว้ให้เราฝึกฝน หาทางแก้ไข ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้แล้วเราจะพัฒนาขึ้นเพื่อเตรียมไปสู่อนาคตที่ดีกว่า
อนาคตที่ดีกว่าในที่นี้หมายถึงทั้งการที่เราจัดการกับงานในที่ทำงานปัจจุบันได้ดีขึ้น เจ็บปวดน้อยลงแล้ว และหมายถึงการเตรียมพร้อมไปสู่ที่ทำงานใหม่ที่เรามีคุณสมบัติดีเพียงพอ ณ เวลาที่โอกาสมาถึง
เพราะฉะนั้นตอนนี้มีปัญหาอะไรในที่ทำงานปัจจุบันอยู่ ในเมื่อเวลานี้ยังไม่สามารถลาออกได้อย่างใจอยาก ลองแก้ไขมันดูสักตั้ง ตอนนี้ยังออกจากบ้านหลังนี้ไม่ได้ ให้ลองซ่อมแซมบ้านหลังเดิมให้ได้ก่อน มันต้องตกแต่งอะไรเพิ่มเติมบ้าง ตรงไหนผุพังอยู่ ต้องจัดการอย่างไรกับบ้านที่เรายังต้องอาศัยอยู่อีกนาน ทำบ้านหลังเดิมให้อยู่ได้ก่อน
เมื่อจำเป็นต้องอยู่ก็ต้องหาวิธีอยู่แบบที่ไม่เผาผลาญชีวิตเรามากเกินไป หาวิธีอยู่ให้ได้แบบที่เรายังรักษากำลังใจของเราไว้ได้อยู่ พัฒนาตัวเราให้พร้อม จนถึงวันที่โอกาสพร้อมแล้ว ถึงตอนนั้นเราก็มีทางเลือกครับ แต่ถ้าปล่อยให้ตัวเองเหี่ยวเฉา ต่อให้วันข้างหน้ามีโอกาสเข้ามา เราก็จะไปหางานนั้นด้วยความแห้งเหี่ยว ไปด้วยความที่เป็นตัวเราในเวอร์ชันที่ไม่เต็มร้อย แล้วแบบนั้นใครจะอยากให้เราไปทำงานด้วยล่ะครับ
ลองเปลี่ยนจากความรู้สึกเกลียดงานที่มีอยู่ตอนนี้หรือความจำทนที่ต้องอยู่ให้กลายเป็นความรู้สึกว่า ณ เวลาที่เรายังอยู่ที่นี่ (ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่ตลอดกาล) เราจะพัฒนาตัวเองอย่างไรให้ได้มากที่สุดเพื่อที่เราจะทำให้ชีวิตของเราที่นี่ดีขึ้น และทำให้ตัวเราพร้อมสำหรับโอกาสใหม่ๆ ที่จะมีในอนาคต ทำตัวเองให้ดีขึ้นและมีความสุขกับการเห็นตัวเราดีขึ้นทุกวัน เราก็จะไม่ได้รู้สึกเกลียดชีวิตที่มีอยู่ตอนนี้ครับ
เป็นกำลังใจให้ครับ
ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์มาที่ Facebook: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ (Facebook.com/Toffybradshawwriter)
ภาพ: Nisakorn Rittapai
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์