ท่ามกลางความกังวลของบรรดาร้านค้าปลีกต่างๆ เกี่ยวกับการเข้ามาของเทคโนโลยี ทำให้ลูกค้าหันไปช้อปสินค้าออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะ Amazon เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของร้านค้าแบบดั้งเดิม
แต่สำหรับ Sephora เชนร้านขายเครื่องสำอางที่อยู่ภายใต้เครือสินค้าหรูสัญชาติฝรั่งเศส LVMH กลับมองว่า Brick and Mortar Store หรือร้านค้าแบบดั้งเดิมยังคงเป็น ‘โอกาสอันยิ่งใหญ่’ สำหรับแบรนด์นอกเหนือจากช่องทางออนไลน์
สะท้อนจากผลประกอบการในปี 2019 ที่แม้บริษัทแม่ที่เป็นเจ้าของเดียวกับ Louis Vuitton จะไม่ยอมบอกส่วนแบ่งการตลาดที่ชัดเจน แต่ก็ได้อธิบายว่า “Sephora ยังมีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งและส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเอเชียและตะวันออกกลาง”
นั่นถือเป็นสิ่งที่หายากในวันที่คู่แข่งในร้านค้าแบบดั้งเดิมด้วยกันกำลังทยอยปิดร้านเพราะได้รับผลกระทบจากออนไลน์
ปี 2020 Sephora ประกาศขยายร้านในสหรัฐอเมริกา 100 สาขา เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ และมากที่สุดเท่าที่เคยขยายสาขามา
ทำเลของสาขาใหม่ๆ จะหันไปเปิดแบบสแตนด์อโลนนอกห้างสรรพสินค้ามากขึ้น ที่สำคัญจะขยายไปสู่เมืองเล็กๆ รวมกันแล้ว 75 เมือง เช่น เมืองชาร์ลอตต์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา, เมืองซานโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย และเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี ไม่ได้เน้นเปิดในเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์กและลอสแอนเจลิสดังเช่นที่ผ่านมา
ร้านแบบสแตนด์อโลนจะมีขนาดประมาณ 4,000 ตารางฟุต เล็กลงเมื่อเทียบกับ 5,500 ตารางฟุตที่เปิดในห้างสรรพสินค้า โดยจะเน้นสินค้ากลุ่มน้ำหอมและผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมสองกลุ่มที่เติบโตอย่างมาก นอกจากนี้จะเน้นการจัดกิจกรรมและคลาสเรียนมากขึ้นด้วย
ปัจจุบัน Sephora มีร้านแบบสแตนด์อโลนประมาณ 490 สาขา หากเป็นไปตามแผน ภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็นประมาณ 600 สาขา ส่วนทั่วโลก Sephora มีสาขาอยู่ทั้งสิ้น 2,500 สาขา
นับตั้งแต่ปี 2009 ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุว่าตลาดผลิตภัณฑ์ความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายในสหรัฐอเมริกาเติบโตกว่า 52% ส่วนอุตสาหกรรมเครื่องสำอางทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 4.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 13.3 ล้านล้านบาท ภายในปี 2022 ตามการประเมินของ Allied Market Research
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
