(*บทความนี้มีการเผยเนื้อหาสารคดี)
ผู้หญิงที่ชื่อ ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ คือใคร?
“อ๋อ…ผู้หญิงที่เคยเดตกับ โจ โจนาส, แคลวิน แฮร์ริส, เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์, แฮร์รี สไตล์ส”
“อ๋อ…ผู้หญิงสูงผมบลอนด์ตาฟ้า ที่ชอบใส่ชุดเลื่อมสีทองแบบทรงเจ้าหญิงไปงาน”
“อ๋อ…ผู้หญิงที่ทำให้ในปี 2014 เราต้องฟังเพลง Blank Space แบบ 9,456 รอบ”
“อ๋อ…ผู้หญิงคนนั้นที่เป็นคู่อริกับ คานเย เวสต์ ที่ตอนหลัง คิม คาร์ดาเชียน เปิดโปงธาตุแท้ของเธอ”
นี่อาจเป็นบางประโยคที่คนจะตอบพอถูกถามคำถามนี้ ซึ่งผมต้องยอมรับครับว่าส่วนตัวชื่นชอบผลงานเพลงของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ มากๆ โดยเฉพาะอัลบั้ม 1989 ที่ต้องยกให้เป็นผลงานป๊อประดับมาสเตอร์พีซ แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็มักสับสนและไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับตัวตนของเธอ…บางครั้งก็ดูมีเสน่ห์น่าหลงใหล และไม่แปลกใจว่าทำไมฐานแฟนคลับ Swifties ถึงเหนี่ยวแน่นขนาดนี้ แต่บางครั้งเธอก็น่ารำคาญ และดูเหมือนจะมีดราม่าตลอดเวลา
แต่ความคิดแง่ลบเหล่านี้ได้ถูกลบหายไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจากได้ดู Miss Americana ทาง Netflix สารคดีอันงดงามและซาบซึ้ง ซึ่งเล่าถึงแง่มุมชีวิตในหลายๆ ด้านของเธอ ซึ่งเพิ่งได้ไปฉายช่วงเทศกาลหนัง Sundance Film Festival เมื่อสัปดาห์ก่อน จนคนดูต้องลุกขึ้นยืนปรบมือให้หลังจากหนังจบ
Miss Americana เป็นหนังสารคดียาว 1 ชั่วโมง 25 นาที กำกับโดย ลาน่า วิลสัน และได้ทีมเบื้องหลังสารคดี 20 Feets From Stardom (2013) ที่เคยชนะออสการ์มาดูแลให้ โดยถ่ายทำช่วงปี 2018 ถึง 2019 ตั้งแต่เธอออกทัวร์ The Reputation Stadium Tour จนถึงการทำอัลบั้มล่าสุด Lover พร้อมมีการผสมผสานฟุตเทจอาร์ไคฟ์เก่าๆ และวิดีโอส่วนตัวของครอบครัว ซึ่งสารคดีเน้นการปูเรื่องราวให้เห็นถึงวิวัฒนาการ ความกดดัน และปัญหาที่เข้ามารุมเร้าเธอตั้งแต่อายุ 13 ปี จนกระทั่งเธอก้าวกระโดดมาเป็นตำนานในปัจจุบัน นอกจากนี้สารคดียังแตะประเด็นที่ละเอียดอ่อนทั้งการเมือง ปัญหาโรคการกินผิดปกติ เรื่องคดีล่วงละเมิดทางเพศ และโรคมะเร็งของคุณแม่เธอ
ที่ผ่านมาภาพยนตร์สารคดีหลายๆ เรื่องที่เล่าเรื่องราวชีวิตของศิลปินดังทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ และได้จากไปแล้ว เช่น Amy ที่เล่าเรื่องราวชีวิตของ เอมี ไวน์เฮาส์, Truth or Dare ของ มาดอนน่า, Gaga: Five Foot Two ของ เลดี้ กาก้า, Life Is A Dream ของ บียอนเซ่ หรือ For the Record ของ บริตนีย์ สเปียร์ส และเฉกเช่นเดียวกับ Miss Americana ที่หนังสามารถทำให้ผู้ชมเข้าใจถึงความเป็นมนุษย์ของศิลปินสาวระดับโลก ที่ไม่ใช่แค่เปลือกนอก
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเห็นใจชีวิตของเธอผ่านสารคดีเรื่องนี้คือ ชีวิตของเธอมักวนอยู่แค่ในห้องอัดเพลง อยู่บนเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว อยู่ที่บ้านเล่นกับแมว หรืออยู่บนเวทีที่ได้ยินเสียงกรี๊ดแปดล้านเดซิเบล และเมื่อแสงไฟดับลง รอบการแสดงจบ รถ SUV ก็จะมารอรับเธอ และส่งเธอกลับไปที่โรงแรม และทุกอย่างก็เงียบสนิท ชีวิตของเธอแทบจะไม่ได้เหยียบพื้นดิน ออกไปอยู่กับธรรมชาติ หรือแค่อยากเดินออกมาซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตยังไม่ได้เลย
หลายคนอาจโต้ว่า “ก็นี่คือชีวิตที่เธอเลือกแล้ว” แต่เอาจริงๆ ไม่ใช่ว่าเธอเลือกจะเป็นศิลปิน เป็นนักร้อง และเป็นนักแต่งเพลงกันแน่เหรอ?
ด้านสภาวะความกดดัน และการอยากเป็นที่ยอมรับก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ Miss Americana ได้โฟกัสอยากลึกซึ้ง ซึ่งทำให้เราได้เห็นว่าเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจของเธอตลอดเวลา จนเธอปล่อยวางไม่ได้ โดยเฉพาะกับเหตุการณ์ที่ คานเย เวสต์ ขึ้นเวทีไปแย่งไมค์ที่งาน MTV Video Music Awards ปี 2009 มันคือช่วงเวลาอันเจ็บลึก ซึ่งทำให้เธอนึกวนซ้ำๆ ว่าคนไม่ได้ชอบเธอ
กระทั่งต่อมาเธอก็พยายามสร้างสรรค์ผลงานที่อยากให้คนยอมรับ ประเด็นนี้ก็ไม่รู้ทำไมทำให้ผมไปนึกถึงบรรดาศิลปินหญิงเกาหลีที่ฆ่าตัวตายเมื่อปลายปีก่อน และเป็นเหมือนการเตือนใจตัวผมเองว่า แม้คนดังจะมีชื่อเสียงเงินทองแบบล้นฟ้า แต่เราก็ต้องรู้ลิมิตของตัวเองในความคลั่งไคล้พวกเขาในฐานะแฟนเพลง และถ้าศิลปินคนโปรดของเราทำอะไรผิดพลาดไป เขาก็สมควรได้รับโอกาสและกำลังใจ มากกว่าการมาคอมเมนต์โน่นนั่นนี่บนอินสตาแกรม
มากไปกว่านั้น เธอยังเผยว่าสมัยก่อนเธอมีอาการคล้ายโรคการกินผิดปกติ เพราะหลายครั้งพอเห็นรูปปาปารัซซีก็จะเริ่มไม่พอใจกับหุ่นตัวเอง และตัดสินใจหยุดกินข้าวและโหมออกกำลังกาย แต่มาวันนี้เธอก็สามารถโปรแกรมความคิดตัวเองว่า พอเห็นรูปตัวเองดูสมบูรณ์แบบก็แฮปปี้ ดีกว่าดูผอมแห้งแบบคนป่วย โดยทุกวันนี้สิ่งที่ดีขึ้นคือมาตรฐานความงามของศิลปินหญิงในกระแสหลัก ที่แต่ก่อนต้องดูสวย หุ่นเป๊ะตลอดเวลา ซึ่งปัจจุบันมันไม่ได้เป็นปัจจัยที่สำคัญมากขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว เพราะถ้าเราจูงมือ ลิซโซ, บิลลี่ อายลิช, ริฮานนา, เลดี้ กาก้า, บียอนเซ่, อเดล และเทย์เลอร์ มายืนเคียงข้างกันในวันนี้ เราก็จะเห็นว่าทุกคนมีสัดส่วน รูปร่าง ความงามในฐานะสตรีเพศที่แตกต่างกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลต่อชื่อเสียง และฉุดรั้งศักยภาพของพวกเธอไม่ให้เปล่งประกายออกมาได้
ปิดท้ายด้วยประเด็นที่กำลังเป็นที่พูดถึงมากที่สุดของ Miss Americana (ไม่ใช่การได้เห็นเทย์เลอร์อินเลิฟกับแฟนหนุ่ม โจ อัลวิน) นั่นก็คือการที่เธอตัดสินใจออกมาสร้างจุดยืนด้านการเมือง และวันนี้กลายเป็นอีกกระบอกเสียงสำคัญ
ผมเคยพูดกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เป็น Swifties ตัวยงในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่าง ฮิลลารี คลินตัน และ โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อช่วงปี 2016 ว่าไม่เข้าใจ ทำไมเทย์เลอร์ไม่เคยออกมาพูดอะไรเลยเกี่ยวกับการเมือง เพราะเธอมีอิทธิพลสูงมากในผลการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในฐานประชากรเด็กรุ่นใหม่ที่โหวตกันครั้งแรก ซึ่งผมเข้าใจว่าเราต้องเคารพสิทธิ์ของเธอว่าอยากจะพูดอะไร แต่ผมก็งงว่าพอเป็นประเด็นอื่นๆ โอ้โห ออกมาพูดจนเป็นข่าวหน้าหนึ่งตลอด
“หรือเธอสนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์?”
“หรือเธอเป็นเดโมแครต แต่กลัวจะสูญเสียฐานแฟนเพลงคันทรีที่หลายคนอยู่ฝั่งรีพับลิกัน?”
นี่เป็นบางคำถามที่ผมถามในตอนนั้น และเป็นเหตุผลที่กล่าวไปเบื้องต้นว่า ทำให้ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับตัวตนของเธอ แต่พอมาดู Miss Americana เราก็ได้รู้ว่าเธออยากออกมาพูดตั้งนานแล้ว แต่ถูกกดดันจากทีมที่ดูแลเธอ (ซึ่งรวมถึงคุณพ่อสกอตต์ สวิฟต์ ของเธอด้วย) ที่ไม่อยากเสี่ยง เพราะเคยเห็นบทเรียนจากศิลปินคันทรี Dixie Chicks ที่โดนถล่มในช่วงข้ามคืน หลังจากออกมาวิจารณ์ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เรื่องสงครามอิรัก
แต่เพราะเหตุการณ์ที่เทย์เลอร์ชนะคดีการล่วงละเมิดทางเพศในปี 2017 นับตั้งแต่วันนั้นมา เธอก็ตัดสินใจว่าจะลุกขึ้นมาสร้างจุดยืนด้านการเมือง และประเด็นสำคัญของสังคม เพราะเธอไม่สามารถอยู่นิ่งและถูกกดขี่ต่อไป
โดยฉากที่เธอร้องขอให้คุณพ่อเข้าใจว่าทำไมเธอจะโพสต์ข้อความบนอินสตาแกรมครั้งแรกในชีวิตเกี่ยวกับเรื่องการเมือง ถือว่าเป็นหัวใจหลักของสารคดีเรื่องนี้ สำหรับผม มันคือจุดที่เปรียบเสมือนการที่เธอได้เจอแสงสว่าง และคำตอบของชีวิตที่เธอไม่อยากเหมือนแค่ตุ๊กตาบาร์บี้ในกล่องพลาสติกแบรนด์ Mattel ที่คนอื่นสามารถจับแต่งอะไรก็ได้โดยไม่มีสิทธิ์มีเสียง โดยหลังจากนี้เมื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ (2020) เราทุกคนต้องจับตาดูผู้หญิงที่ชื่อ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ให้ดี เพราะผมเชื่อว่าเธอจะเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญที่มองข้ามไม่ได้
แม้คุณจะไม่ชอบเพลงของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ หรือคิดว่ารสนิยมเพลงของคุณดีเกินไป แต่ผมอยากให้ทุกคนเปิดใจดู Miss Americana และเห็นคุณค่าในตัวเธอ เมื่อก่อนแม้ผมจะฟังเพลง Style ของเธอวนหลายรอบ แต่พออ่านข่าวก็จะมองบนตลอด แต่หลังดูสารคดีเรื่องนี้ กำแพงที่ตัวเองเคยตั้งขึ้นมามันไม่ใช่แค่สั่นสะเทือนหรือเริ่มร้าว แต่มันได้ถูกทำลายลงเป็นชิ้นๆ ซึ่งผมก็ได้แค่หวังว่ากำแพงของคนอื่นๆ ที่มีต่อเธอจะเป็นแบบเดียวกัน และเห็นว่าแม้คุณจะไม่ใช่ผู้หญิงรูปร่างสูง ผมบลอนด์ ตาสีฟ้า ที่รักแมว และมี เซเลนา โกเมซ เป็นเพื่อนสนิท แต่ชีวิตคุณก็น่าจะมีอะไรสักอย่างที่เชื่อมโยงกับ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้ เพราะเราต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกันหมด
ภาพ: Netflix
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์