ไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไรที่ไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่ซึ่งกำลังระบาดอยู่ในขณะนี้มีต้นตอการแพร่ระบาดมาจากจีน หนึ่งในมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่จีนเช่นนี้ ที่เดิมทีคาดว่าน่าจะมีเม็ดเงินมหาศาลหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ อีกทั้ง ‘อู่ฮั่น’ เมืองต้นทางการแพร่ระบาดในหูเป่ยยังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางด้านการคมนาคมที่มีบทบาทสำคัญด้านการค้าขายอีกด้วย ไม่แปลกที่หลายฝ่ายจะแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ต่อ ‘เศรษฐกิจจีน’ เบื้องต้นในกรอบระยะเวลา 1 เดือนอาจสร้างความเสียหายสูงถึง 3 แสนล้านหยวน หรือประมาณ 1.33 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 0.3% ของ GDP จีนทั้งปี
มูลค่าความเสียหายในระดับดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความเสียหายต่อเศรษฐกิจจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีน (1 สัปดาห์) ที่มีมูลค่าราว 2.15 แสนล้านหยวน เทียบเท่า 70% ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด
เมื่อจำแนกตามเซกเตอร์ ‘ภาคค้าปลีก’ เป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบสูงสุดที่ 1.3 แสนล้านหยวน ส่วนใหญ่เป็นผลกระทบของฝั่งออฟไลน์ เพราะผู้คนหลีกเลี่ยงการออกไปจับจ่ายใช้สอยนอกบ้าน แต่แรงหนุนจากการค้าปลีกออนไลน์และความต้องการสินค้าในกลุ่มเวชภัณฑ์อาจจะช่วยให้ระดับราคาสินค้าปรับสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยหักล้างผลกระทบต่อภาคค้าปลีกในระดับหนึ่ง
ตามมาด้วยภาคการบริโภคและการท่องเที่ยว (ครอบคลุมโรงแรม ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยว) ที่คาดว่าน่าจะได้รับผลกระทบราว 90,000 ล้านหยวน และภาคการขนส่ง-คมนาคมที่น่าจะมีมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 80,000 ล้านหยวน
ขณะที่ในระยะยาว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเชื่อว่าหากวิกฤตไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่ยังมีสถานการณ์ส่อเค้ายืดไปอีก 3 เดือนต่อจากนี้ โอกาสที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2563 จะลงต่ำกว่า 5% ก็จะเพิ่มขึ้นสูงตามไปด้วย (เดิมคาดการณ์ไว้ที่ 5.5-5.9%)
โดยประเด็นที่ต้องจับตาต่อจากนี้คือ ‘มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน’ หลังผ่านช่วงการแพร่ระบาดของโรคเพื่อชดเชยความเสียหายทางเศรษฐกิจซึ่งยังมีความไม่แน่นอน เพราะความสามารถในการใช้เครื่องมือทางการคลังของจีนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับที่จำกัด
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์