ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด สหรัฐฯ นำโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะจรดปากกาลงนามข้อตกลงการค้าเฟส 1 ฉบับประวัติศาสตร์กับ หลิวเฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีจีนที่ทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย
แม้การลงนามไม่น่าพลิกโผจนดูเหมือนไม่มีอะไรน่าจับตา แต่จริงๆ แล้วตลาดทั่วโลกกำลังจับตารายละเอียดเพิ่มเติมของข้อตกลงที่จะมีการประกาศก่อนหน้าพิธีจะเริ่มต้นขึ้น ถึงแม้นักลงทุนจะทราบรายละเอียดส่วนใหญ่ในข้อตกลงแล้ว และคาดว่าจะไม่มีอะไรใหม่ที่เซอร์ไพรส์ตลาดก็ตาม
เมื่อวานนี้ (14 มกราคม) ตลาดหุ้นวอลสตรีทซื้อขายกันคึกคัก เช่นเดียวกับในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ตลาดซึมซับข่าวบวกเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีน แต่ทันทีที่ Bloomberg รายงานว่าสหรัฐฯ อาจไม่ยกเลิกกำแพงภาษีสินค้าจีนจนกว่าจะผ่านพ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน นั่นทำให้กลายเป็นปัจจัยลบสั่นคลอนตลาดและกดดันดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรม Dow Jones จนร่วงลงทะลุแนวสำคัญทางจิตวิทยาที่ 29,000 จุด
สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ออกมายืนยันในภายหลังว่าทรัมป์จะพิจารณาเรื่องการลดกำแพงภาษีกับสินค้าจีนที่เหลือ หากทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสที่ 2 กันได้แล้ว เพราะเงื่อนไขเหล่านั้นจะอยู่ในข้อตกลงฉบับที่ 2 ซึ่งจะตามมาหลังจากนี้
ดังนั้นกำแพงภาษีซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญและชนวนสงครามการค้าระหว่างสองฝ่ายจึงขึ้นอยู่กับความคืบหน้าในการเจรจาข้อตกลงเฟสต่อไป ส่งผลให้ความไม่แน่นอนต่างๆ ยังคงมีอยู่ และสร้างความผันผวนให้กับตลาดต่อไป
สำหรับข้อตกลงฉบับแรกที่มีรายละเอียดออกมาคร่าวๆ เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วนั้น สหรัฐฯ ตกลงที่จะระงับการขึ้นภาษีสินค้าจีนมูลค่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์ ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป และสินค้าอื่นๆ ที่มีผลบังคับในวันที่ 15 ธันวาคม 2019 นอกจากนี้ยังลดอัตราภาษีที่เรียกเก็บกับสินค้าจีนมูลค่า 1.2 แสนล้านดอลลาร์ลงครึ่งหนึ่ง จากอัตรา 15% เหลืออัตรา 7.5% แต่ยังคงภาษีอัตรา 25% กับสินค้าจีนมูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนจะนำเข้าสินค้าและบริการจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 แสนล้านดอลลาร์ตลอดช่วง 2 ปีข้างหน้า
นักวิเคราะห์เตือนว่าตลาดจะมีความผันผวนในช่วงที่มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับข้อตกลงเฟสที่ 1 หากไม่มีรายละเอียดที่ตลาดมองว่าจะช่วยยับยั้งข้อพิพาททางการค้าได้ก็อาจเป็นปัจจัยลบต่อตลาด
เดโบราห์ เอลม์ส ผู้อำนวยการศูนย์ที่ปรึกษาทางการค้าเอเชีย แสดงความเห็นว่าสิ่งที่น่าจับตาหลังจากนี้คือจีนอาจมีอุปสรรคในการทำตามข้อตกลง เพราะการนำเข้าสินค้าและบริการเพิ่มอีกมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ย่อมหมายถึงการสั่งซื้อสินค้าเกษตร เครื่องจักร และพลังงานจากสหรัฐฯ จำนวนมหาศาล โดยจีนอาจต้องสั่งซื้อบางสินค้าเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว และอาจต้องหยุดนำเข้าจากแหล่งผลิตอื่นๆ
หากจีนไม่สามารถทำตามข้อตกลงได้ครบถ้วนก็อาจเป็นเหตุผลให้ทรัมป์พิจารณาขึ้นภาษีสินค้าจีนอีกครั้ง หรืออาจยกเลิกข้อตกลงที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งทุกอย่างยังคงเป็นไปได้และต้องจับตาดูกันต่อไป
นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าข้อตกลงการค้าเฟส 1 อาจเล็กกว่าที่ตลาดคาดหวัง และไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรที่ Bloomberg รายงานว่าสหรัฐฯ อาจไม่ลดกำแพงภาษีที่เหลือจนกว่าจะบรรลุข้อตกลงการค้าเฟส 2 ซึ่งอาจต้องรอไปจนกระทั่งหลังเลือกตั้งประธานาธิบดี
เอ็ด คีออน หัวหน้านักกลยุทธ์ลงทุนแห่ง QMA มองว่าเวลานี้ตลาดไม่ได้มองไปที่ข้อตกลงการค้าเฟส 1 มากนัก เพราะเราทราบกันดีถึงรายละเอียดสำคัญที่พวกเขาตกลงกันได้แล้ว โดยเฉพาะการระงับขึ้นภาษีสินค้าและลดภาษีส่วนหนึ่งลง นอกจากนี้ยังมีสัญญาณบวกจากกรณีที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ถอดจีนออกจากบัญชีประเทศปั่นค่าเงิน (Currency Manipulator) โดยสิ่งที่สามารถคาดหวังเพิ่มได้จากข้อตกลงฉบับแรกคือการประกาศให้ความร่วมมือแก้ปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของจีน
เวลานี้ตลาดยังมองว่าเป็นเรื่องดีที่สหรัฐฯ ไม่ขึ้นภาษีสินค้าจีนเพิ่มเติม รวมถึงลดกำแพงภาษีส่วนหนึ่งลงจากอัตรา 15% เป็น 7.5% แต่สถานการณ์อาจพลิกผันได้ทุกเมื่อจนสงครามการค้ากลับมาปะทุได้อีกครั้ง หากสหรัฐฯ เห็นว่าจีนไม่ทำตามข้อตกลง ดังน้ันตลอดทั้งปีนี้ไปจนถึงช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังมีอะไรที่ต้องจับตาอย่างต่อเนื่อง
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
