×

เรียนจบมาไม่ตรงสายแล้วจะได้งานไหม แล้วนี่เราต้องเจียมตัวตัดใจหรือเปล่า?

04.10.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • ถ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรก็ลองให้หมด แต่อย่าแค่ลองแบบแตะๆ ต้องลองไปขลุกอยู่กับสิ่งนั้น เพื่อดูว่าคนที่ทำงานด้านนั้นเขาใช้ชีวิตกันแบบไหน เขาต้องรู้อะไรบ้างเป็นพื้นฐาน การลองนี่แหละจะทำให้เราค่อยๆ คลำหาสิ่งที่เราชอบจนเจอ และทำให้เรามีประสบการณ์ที่หลากหลาย
  • กระบวนการค้นหาว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไรเกิดขึ้นตลอดชีวิต และเปลี่ยนแปลงได้เสมอ แต่มันจะทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น

Q: ผมเรียนจบด้านโบราณคดีมา ไม่รู้ว่าจะทำงานอะไรดี เพราะงานทางด้านนี้น้อยเหลือเกิน เลยอยากไปสมัครงานด้านการตลาดดู ไม่รู้ว่าจบมาไม่ตรงสายแล้วเขาจะรับไหม

A: ยินดีด้วยกับว่าที่บัณฑิตครับน้อง สิ่งที่น้องกังวลอยู่นี้มีคนอีกเยอะที่เป็นเหมือนกัน  เนื่องจากน้องบอกว่าเรียนจบโบราณคดีมาแต่อยากไปทำงานด้านการตลาดดู พี่ต้องถามน้องกลับไปว่า ทำไมตอนที่สอบแอดมิชชันเข้ามหาวิทยาลัย ทำไมจึงตัดสินใจเรียนโบราณคดี

     ถ้าเป็นแบบ A คือน้องชอบโบราณคดีมากเลย แต่จบมาแล้วไม่รู้ว่าจะทำงานอะไร เลยคิดว่าสมัครงานด้านการตลาดดูก็แล้วกัน เพราะเห็นว่างานด้านนี้กำลังเป็นที่ต้องการ ถ้าเป็นแบบนี้พี่ก็อยากแนะนำว่า ถ้าน้องชอบโบราณคดีอยู่แล้ว และอินกับมันมาก ติดอยู่อย่างเดียวคือยังไม่รู้ว่าจะทำงานอะไรที่เกี่ยวกับโบราณคดีดี หรือใช้พื้นฐานจากโบราณคดีมาต่อยอดได้ พี่ก็คิดว่าน่าจะลองดูงานด้านโบราณคดีที่เราชอบก่อน

     ไหนๆ เราก็อินกับมันมากขนาดนี้ มีความรู้ด้านนี้แล้ว ถ้าได้ทำงานในสิ่งที่เราก็อินอยู่แล้วน่าจะทำให้น้องไปได้ไกล และน้องน่าจะมีความสุขกับโบราณคดีอย่างที่เรียนมาจริงๆ เช่น เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีก็ได้ รู้ให้ลึกไปเลย หรือลองดูก่อนไหมครับว่ารุ่นพี่ของน้องไปทำงานด้านโบราณคดีแบบไหนกันบ้าง ในวงการโบราณคดีใครคือตัวจริงทางด้านนี้ ใครคือไอคอนของวงการ แล้วดูว่าเขาทำงานอะไร หรือทำอย่างไรเขาจึงไปอยู่ยังจุดนั้นได้ นั่นแหละครับที่จะทำให้เรารู้ว่า งานด้านโบราณคดีมันมีอะไรบ้าง และจะประสบความสำเร็จในวงการนี้จะต้องทำอย่างไร ซึ่งพี่เชื่อนะว่ามันหลากหลายพอและเป็นที่ต้องการ ยิ่งถ้าน้องชอบมันอยู่แล้วน่าจะเข้าถึงงานได้ง่าย เพราะฉะนั้นโจทย์ของชีวิตน้องตอนนี้ก็มีแค่ว่า รู้แล้วว่าชอบโบราณคดี แต่ต้องทำการบ้านเพิ่มเติมว่างานด้านโบราณคดีมีอะไรบ้าง

     เพราะเอาเข้าจริงๆ ถ้าเราไม่ได้ชอบการตลาดมากขนาดนั้น แต่แค่เห็นว่าตำแหน่งงานมันเยอะดี เลยคิดว่านี่น่าจะเป็นทางออกได้ เราก็จะเจอปัญหาในอนาคตว่า เราจะโอเคหรือเปล่ากับการทำในสิ่งที่เราไม่ถนัด สิ่งที่เราไม่ได้อิน สิ่งที่เรา blank ตั้งแต่ต้นว่ามันคืออะไร นั่นเพราะเราไม่ได้ชอบการตลาดจริงๆ เมื่อทำแล้วอาจจะไม่สนุกก็ได้ แล้วพอไม่รู้สึกสนุกก็จะไม่อยากทำ และเอาจริงๆ นะ การต้องตื่นมาทำงานที่เราโคตรจะไม่ชอบมันทุกวันๆ นั่นมันโคตรทุกข์เลยนะครับน้อง

     ซึ่งพี่คงทิ้งไว้ให้เป็นการตัดสินใจของน้อง ถ้าน้องบอกว่า ผมรู้ครับว่าผมไม่ได้ชอบการตลาดจริงๆ แต่ตำแหน่งงานมันมีอยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้นพี่ก็อยากจะแนะนำให้น้องไปลองหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการตลาด อ่านข่าวเศรษฐกิจมากๆ ให้รู้ความเคลื่อนไหวในตลาด ลองไปดูเคสการตลาดที่ประสบความสำเร็จแล้วศึกษาว่าทำไมจึงประสบความสำเร็จ ไปจนถึงดูว่าเคสไหนที่ทำแล้วล้มเหลว และมันล้มเหลวเพราะอะไร ลองเอาตัวไปขลุกกับความรู้ด้านการตลาดอย่างจริงจังดู น้องก็จะรู้ว่าน้องเข้าใจมันไหม สนุกกับมันหรือเปล่า อยากจะทำมันจริงๆ ไหม เอาเป็นว่าอย่างน้อยถึงไม่ได้ชอบมันมาก แต่ยังยืนยันว่าอยากลองทำ น้องก็ยังมีความรู้ด้านการตลาดที่จะเอาไปสมัครงานได้อยู่ แต่ถ้าไปแบบไม่รู้อะไรเลย พี่ว่าโคตรยากเลยที่น้องจะได้งาน เดี๋ยวน้องจะรู้สึกแย่กับตัวเองอีกว่าไม่มีที่ไหนรับน้องเข้าทำงาน

     เพราะฉะนั้นคำแนะนำของพี่คือ ไปเรียนรู้เรื่องการตลาดให้มากขึ้น และถามตัวเองว่าสนุกที่จะเรียนรู้เรื่องการตลาดต่อหรือเปล่า ใช้เวลากับมันมากๆ แล้วน้องก็จะตอบได้เองว่ากระโดดไปทำงานการตลาดแล้วจะใช่ทางของน้องหรือเปล่า

สิ่งที่น้องกังวลอยู่นี้มีคนอีกมากที่เป็นอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นน้องไม่ได้โดดเดี่ยว มีคนอีกมากที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร บังเอิญว่าเรียนได้ก็เรียน ก็ไหลๆ มาเรื่อยจนจบ แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าชอบอะไร

     ส่วนอีกกรณี ซึ่งเป็นแบบ B คือน้องไม่ได้ชอบโบราณคดีนักหรอก แต่คะแนนถึงจึงเรียน พอดีว่าเรียนได้ ผ่านมาจนจบ แต่ก็กังวลว่าจบมาแล้วจะทำอะไรดี ก็เลยอยากไปทำงานด้านการตลาดดู เอาเข้าจริงๆ น้องยังไม่รู้หรอกว่าตัวเองชอบอะไร สิ่งที่น้องกังวลอยู่นี้มีคนอีกมากที่เป็นอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นน้องไม่ได้โดดเดี่ยว มีคนอีกมากที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร บังเอิญว่าเรียนได้ก็เรียน ก็ไหลๆ มาเรื่อยจนจบ แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าชอบอะไร

     คำแนะนำของพี่คือ ถ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร งั้นดีเลย ลองมันให้หมด แต่อย่าลองแค่แบบแตะๆ ไม่รู้จริงนะครับ ต้องลองไปขลุกอยู่กับสิ่งนั้น ลองไปดูว่าคนที่ทำงานนั้นเขาใช้ชีวิตกันแบบไหน เขาต้องรู้เรื่องอะไรบ้างเป็นพื้นฐาน การลองนี่แหละครับจะทำให้เราค่อยๆ คลำหาสิ่งที่เราชอบเจอ และทำให้เรามีประสบการณ์หลากหลาย

     ดังนั้นอยากลองด้านการตลาดก็ลองเลย แต่ก่อนจะไปสมัครงาน ขอให้ลองหาความรู้ทางด้านนี้ก่อน อย่างน้อยน้องก็จะพอรู้แล้วว่างานการตลาดมันประมาณไหน เมื่อลองไปทำงานจริงๆ แล้วจะได้รู้ว่าชอบไหม รอดหรือเปล่า โตได้ไหม แต่ถ้าลองแล้วน้องไม่ชอบ อย่างน้อยน้องก็จะได้รู้แล้วว่างานนี้มันไม่ใช่ทางว่ะ น้องก็จะรู้แล้วว่าอะไรบ้างที่น้องไม่ชอบ

     ลองเขียนลิสต์สิ่งที่น้องไม่ชอบ และสิ่งที่น้องชอบจากการได้ทดลองทำ น้องก็จะเริ่มเห็นตัวเองแล้วว่า อ๋อ เราชอบอะไร เราไม่ชอบอะไร เดี๋ยวน้องจะเห็นทางเอง เอาว่าอย่างน้อยตอนนี้น้องก็น่าจะพอรู้แล้วว่างานด้านโบราณคดีไม่น่าจะใช่ทางน้อง เพราะถ้าใช่ป่านนี้น้องคงกระโดดเข้าใส่มันเรียบร้อยแล้ว นี่เหมือนผู้หญิงทื่อๆ คนหนึ่งที่น้องไม่ได้อยากจะรู้จักเพิ่ม แปลว่าน้องอย่าได้ไปจีบต่อ คบไปก็ไม่เวิร์กหรอก ไปลองเดตกับคนอื่นๆ ดีกว่า แต่เดตกับใครก็ต้องทำความรู้จักกับเขาจริงๆ จังๆ อย่าแค่รู้จักผิวๆ แล้วก็บอกว่าชอบหรือไม่ชอบ หางานที่ตัวเองชอบ มันคือหลักการเดียวกันกับการมีแฟนเลยครับน้อง

     แต่ประเด็นสำคัญคือน้องต้องลอง ไม่งั้นน้องจะไม่รู้เลยว่าน้องชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร และไม่ต้องกลัว กระบวนการค้นหาว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไรนี้มันเกิดขึ้นตลอดชีวิต และเปลี่ยนแปลงได้เสมอ แต่มันจะทำให้น้องรู้จักตัวเองมากขึ้น

     กรณีสุดท้ายคือแบบ C เมื่อน้องเรียนโบราณคดีมาแล้วจนจบ แต่รู้สึกไม่ชอบ และค้นพบว่าจริงๆ แล้วตัวเองชอบงานด้านการตลาดมากกว่า จึงอยากจะเบนเข็มไปทำงานด้านการตลาด อันนี้ก็ง่ายหน่อย น้องไปหาความรู้ด้านการตลาดมากขึ้น ไหนๆ ใจรู้แล้วว่าชอบอะไร ที่เหลือคือดำดิ่งกับมันให้มากที่สุด รู้มันให้มากที่สุด  

     ถ้าถามพี่ว่า แล้วความรู้ด้านโบราณคดีหรือประวัติศาสตร์ที่น้องเรียนมาจะมีประโยชน์อะไรไหมกับการทำงาน พี่คิดว่าประวัติศาสตร์สอนให้เราเข้าใจความสำเร็จและความล้มเหลวของคนในอดีต มันทำให้เห็นว่าคนเราทำอะไรแล้วได้ผลลัพธ์แบบไหน ได้กรณีศึกษาในการแก้ปัญหาต่างๆ เช่น ในความขัดแย้ง ผู้นำใช้วิธีการแก้ปัญหาอย่างไร บริหารประเทศอย่างไร ณ เวลานั้น ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนำไปสู่อะไรบ้าง แปลว่าน้องมีคลังความรู้ของกรณีศึกษาในประวัติศาสตร์เยอะมากพอที่จะรู้ว่าอะไรทำให้เกิดความสำเร็จ อะไรทำให้เกิดความพังพินาศ

     การเรียนโบราณคดียังสอนให้เราตีความจากข้อมูลที่เรามี เรามองเห็นอดีตไม่ได้ แต่จากข้อมูลที่มีทำให้เราตีความต่อได้ แปลว่าเราให้ความสำคัญกับการหาข้อมูลมาเป็นเหตุผลรองรับ พร้อมกับเป็นคนที่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเมื่อมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ใหม่ๆ ก็อาจหักล้างความเชื่อเก่าๆ ได้ แปลว่าเราพร้อมจะรับฟังเหตุผลของคนอื่น เราไม่ยึดติดว่าสิ่งที่เราคิดต้องถูกเสมอไป ที่สำคัญนักโบราณคดีจะไม่หยุดค้นคว้า ซึ่งนั่นเป็นคุณสมบัติที่ดีมากสำหรับการทำงานทุกอาชีพเลยนะครับ

     พี่ขึ้นต้นให้ประมาณนี้ก่อน ที่เหลือพี่เชื่อว่าน้องในฐานะที่อยู่กับโบราณคดีมาหลายปีลองสำรวจดูครับว่าโบราณคดีสอนให้เราเป็นคนอย่างไร นั่นแหละครับจะเป็นคำตอบว่า น้องจะเอาอะไรจากโบราณคดีไปใช้ในชีวิต

     ไม่ต้องกลัวว่าเรียนมาไม่ตรงสายกับงานที่ทำแล้วจะหางานไม่ได้ มีคนมากมายที่เรียนมาแล้วทำงานไม่ตรงสาย รุ่นพี่ของพี่เรียนจบคณะวารสารศาสตร์ฯ มาแต่พบว่ามีความสุขที่สุดกับการเล่นโยคะ ทุกวันนี้ก็ไปเป็นครูสอนโยคะที่มีความสุขทุกวันที่ได้สอนให้คนมีชีวิตที่ดีขึ้นจากโยคะ รุ่นพี่ของพี่อีกคนจบรัฐศาสตร์มา แต่ทำงานในเอเจนซีโฆษณา และใช้ศาสตร์แห่งการปกครอง ศาสตร์แห่งการต่อรองอำนาจ ซึ่งเรียนรู้มาจากคณะรัฐศาสตร์มาใช้บริหารทีมโฆษณา เพื่อนพี่อีกคนจบศิลปศาสตร์มา ทุกวันนี้เป็นช่างภาพ ฯลฯ ไม่ได้แปลว่าเราไม่ได้เรียนมาตรงสายแล้วประตูทุกบานจะปิดใส่เราหมดนะครับ

     มีประตูอีกหลายบานให้เราเลือก ลองเปิดดูแล้วเลือกประตูที่พาเราไปสู่โลกที่เราอยากจะอยู่กับมันที่สุด

 

   * ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ 

 

ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X