การลงทุนคือความเสี่ยง ขณะเดียวกันยิ่งเสี่ยงมากเท่าไร ผลตอบแทนก็ยิ่งสูงเช่นกัน แต่การลงทุนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่เรื่องยากจนเกินจะเข้าใจนัก ซึ่งมีผู้คนจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่ยังไม่เข้าใจถึงคุณค่าการลงทุนในการสร้างโอกาส รวมถึงเพิ่มความมั่งคั่งให้กับชีวิตของตัวเอง และบทสรุปจากบทสนทนาในหัวข้อ ‘สร้างมาตรฐานใหม่ มีชีวิตที่ใช่ ลงทุนให้เป็น #Investnow’ ภายในงาน @SETintheCity2019 ของ ต๊ะ-พิภู พุ่มแก้วกล้า พิธีกรและผู้ประกาศข่าว กับมุมมองการลงทุนตัวแทนของคนยุคมิลเลนเนียล และนักลงทุนหุ้นคุณค่าผู้มีประสบการณ์มากว่า 20 ปี นิ้วโป้ง-อธิป กีรติพิชญ์ น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นชั้นเยี่ยมต่อความเข้าใจสำหรับนักลงทุนมือใหม่ ขณะที่นักลงทุนมือเก๋าเองก็จะยิ่งเห็นแนวทางการลงทุนในปี 2020 ได้เด่นชัด ในวันที่ตลาดขาดความชัดเจนและไร้ทิศทางอย่างที่เป็น
ต๊ะ-พิภู พุ่มแก้วกล้า
มุมมองการลงทุน สติปัญญาเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก โดยพิภูยกตัวอย่างคดีที่ชายหนุ่มนาม แม็กอาร์เธอร์ วีลเลอร์ เข้าปล้นธนาคารกลางเมืองพิตต์สเบิร์ก ช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ ติดกันถึงสองครั้งในปี 1995 โดยไม่สวมอะไรปิดบังใบหน้าแม้แต่น้อย ทั้งยังเล่นหน้าเล่นตากับกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุอีกด้วย จากนั้นวีลเลอร์ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับในวันเดียวกัน ขณะนอนเล่นอยู่ที่บ้านอย่างสบายใจ
ส่วนสาเหตุของการปล้นแบบเปิดเผยใบหน้าครั้งนี้ เพราะเขาเชื่อว่าการใช้น้ำมะนาวทาหน้าจะทำให้กล้องวงจรปิดไม่สามารถจับภาพใบหน้าเขาได้ และหลังจากเข้ารับโทษ ได้มีนักจิตวิทยา 2 คนเข้าไปคลุกคลีทำงานวิจัยเกือบ 2 เดือนภายในคุก เพื่อค้นหาคำตอบว่าทำไมเขาจึงเชื่อเช่นนั้น ซึ่งทั้งสองได้ขอสรุปว่าเป็นเพราะเขาด้อยสติปัญญาล้วนๆ ไม่ได้เกิดจากการทำงานผิดปกติของสมองแต่อย่างใด
จึงเกิดเป็นที่มาของ Dunning Kruger Effect (ชื่อของนักจิตวิทยาทั้งสองคน) ที่พิภูเปรียบเทียบให้เห็นว่าคนเรานั้นมักประเมินความสามารถของตัวเองเกินความเป็นจริง ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าตัวเองผิดพลาด ขาดทักษะ และไม่สามารถรับรู้ทักษะความเชี่ยวชาญที่แท้จริงของผู้อื่นได้ นักลงทุนที่ดีจึงควรลดอีโก้ ลดอัตตา และเปิดใจรับฟัง
อันดับที่สองคือเรื่องทักษะที่ต้องมีครอบคลุมทุกด้าน ได้แก่ Hard Skills, Soft Skills และ Meta Skills เพราะทักษะที่คุณมีอยู่ในปัจจุบันอาจจะล้าหลังในอนาคต และอันดับสุดท้าย เหตุผลที่ควรลงทุนก็เพราะความไม่แน่นอนในอนาคต การลงทุนจะเป็นหลักประกันสภาวะปัจจุบัน การมีเงินสำรองตามอายุขัยที่เพิ่มขึ้น (โดยคนไทยจะมีอายุขัยเพิ่มขึ้น 4.4 เดือนต่อปี อายุขัยเกิน 90 เพิ่มขึ้นทุกปี และ 48% ของชาวมิลเลนเนียลต้องการอยู่กับลูกเมื่อแก่ตัว) ทั้งยังต้องการอิสรภาพและการมองเห็นคุณค่าในตัวเองเมื่อเกิดความมั่งคั่ง
นอกจากนี้ยังทิ้งท้ายด้วยเทคนิคง่ายๆ ในการที่จะหาเงินมาลงทุนสำหรับพนักงานรับเงินเดือน 3 ข้อดังนี้
- Double Zero คือเงินเดือนเท่าไร ให้ตัดศูนย์ออกไปสองตัว เท่ากับค่าใช้จ่ายต่อวันที่ต้องใช้ไม่เกิน เช่น หากคุณมีเงินเดือน 1,000 บาท คุณสามารถใช้ได้วันละ 10 บาท เป็นต้น
- จดบันทึกรายรับ-รายจ่าย
- เก็บสะสมธนบัตร 50 บาทเอาไว้
นิ้วโป้ง-อธิป กีรติพิชญ์ นักลงทุนหุ้นคุณค่า
เมื่อตลาดซึม ปัจจัยรุมเร้า นักลงทุนอย่างเราจะทำอย่างไรดี
สำหรับปีนี้ถือเป็นเรื่องยากสำหรับนักลงทุนอย่างมาก เพราะจากต้นปีตลาดดัชนีเป็นขาขึ้นและปรับตัวลงมาเป็นคลื่นที่หนึ่ง จากนั้นก็เป็นแบบเดิมในคลื่นที่สอง ก่อนเข้าสู่คลื่นที่สามที่เป็นขาขึ้น ดัชนีไปแตะที่ 1,740 จุด เพราะตลาดได้รับข่าวดีจาก MSCI (Morgan Stanley Capital International เป็นบริษัททำดัชนีราคาหุ้นชั้นนำของโลก) ว่าจะมีการโยกเงินลงทุนเข้าสู่หุ้นไทยมากขึ้น ก่อนจะถูกเทขายอย่างหนักจนมาแตะที่ 1,600 จุด และเกิดคลื่นที่สี่ที่ในกรอบเดียวกัน ก่อนจะหลุดแนวรับ 1,600 จุด เท่ากับว่าภายในปีนี้นักลงทุน (ระยะสั้น) มีการ Cut Loss ตัดขาดทุนไปแล้วถึง 4 ครั้งด้วยกัน
ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดผันผวนอย่างที่เห็นเกิดจาก 4 ปัจจัยเชิงลบหลัก ได้แก่ สถานการณ์สงครามการค้า, การปรับลด GDP โลกของ IMF, สถานการณ์ Brexit และเสถียรภาพของรัฐบาล ประกอบกับการที่นักลงทุนต่างชาติเทขายอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีเป็นเงินกว่าหมื่นล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ถือว่าเป็นแรงเทขายเพียงน้อยนิดเท่านั้น ปัจจัยหลักดังกล่าวส่งผลให้หุ้นใหญ่ในหลายเซกเตอร์ปรับตัวลงทั้งในทางบวกและทางลบสูงมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน การเลือกหุ้นและจังหวะการลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่นักลงทุนจะสามารถเป็นผู้ชนะได้
อย่างไรก็ตาม เซียนหุ้นรุ่นใหญ่มองว่าหุ้นไทยยังถือเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนอยู่ดี เพราะโดยธรรมชาติตลาดหุ้นในระยะยาวมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นและให้ผลตอบแทนสูงมากกว่าสินทรัพย์อื่นๆ เนื่องจากเป็นการรวมตัวของบรรษัทยักษ์ใหญ่ระดับประเทศที่ถูกคัดสรรเข้ามาเป็นอย่างดี ซึ่งปัจจัยส่งเสริมให้ตลาดหุ้นไทยเป็นขาขึ้นคือโครงการกระตุ้นการใช้จ่าย เงินลงทุนโครงการรัฐ เงินลงทุนเอกชน และการลงทุนในพื้นที่ EEC ทั้งหมดจะเป็นการยกระดับเศรษฐกิจของประเทศไทย
ก่อนจะเสนอแนะให้นักลงทุนผู้มีประสบการณ์ว่าขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่ราคาหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำ และมองเป็นโอกาสการลงทุนในหุ้นใหญ่พื้นฐานดีใน SET 50 หรือการลงทุนใน LTF หรือ RMF ก็ได้เช่นเดียวกัน
และสำหรับคำแนะนำของนักลงทุน First Jobber อธิปได้ลำดับอาวุธการลงทุนเอาไว้ให้เลือกตามลิสต์ดังนี้
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)
- กองทุน LTF เพราะสามารถหักภาษีได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และลงทุนได้ 15% ของรายได้
- กองทุน RTF (ด้วยเงื่อนไขคล้ายกับกองทุน LTF)
- บัญชีออมหุ้น
ท้ายสุด อธิปยังฝากย้ำว่านี่คือจังหวะของการ Invest Now เนื่องจากมีหุ้นใหญ่จำนวนมากมายที่ตกลงมากองอยู่บนพื้น และมีหุ้นบางส่วนที่ยังมีอนาคตในการเติบโตได้อีก จึงขอให้นักลงทุนเลือกซื้อหุ้นต่างๆ เหล่านี้ พร้อมบริหารจัดการความเสี่ยงให้เหมาะสมเพื่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนต่อไป
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์