เวลา 19.30 น. ตามเวลาที่อังกฤษ สโมสรท็อตแนม ฮอตสเปอร์แถลงข่าวการปลด เมาริซิโอ โปเชตติโน พ้นจากตำแหน่ง รวมถึงทีมงานส่วนตัวของเขาทั้งชุด ที่ตกงานพร้อมกัน
ข่าวนี้ถือเป็นข่าวช็อกวงการฟุตบอลเมืองผู้ดีครับ เพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า สเปอร์สจะ ‘กล้า’ ตัดสินใจปลดผู้จัดการทีมชาวอาร์เจนตินา คนที่พาทีมก้าวมาได้ไกลจนเกือบถึงดวงดาวในเวลาและสถานการณ์แบบนี้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี ‘สัญญาณ’ ออกมาเลย
ย้อนหลังกลับไปเมื่อวานนี้ (19 พฤศจิกายน) บนหน้าสื่ออังกฤษและสเปน ปรากฏข่าวในทิศทางเดียวกันถึงเรื่องอนาคตของโปเชตติโนว่า อาจจะอำลาสเปอร์สในอนาคต มีการคาดการณ์ถึงสโมสรหรือทีมที่เขาจะไปต่อ
แม้จะไม่มีความชัดเจนใดๆ นอกจากรู้ว่า เขาต้องการจะกลับไปที่สเปน หรือกลับไปทำฟาร์มในบ้านเกิดที่อาร์เจนตินา (ซึ่งคงไม่ใช่ในเวลาอันใกล้) แต่สิ่งที่ผู้จัดการทีมวัย 47 ปี จะไม่ทำแน่ๆ คือการตกลงรับข้อเสนอจากทีมบาร์เซโลนา ในฐานะที่เป็นสายเลือดของเอสปันญอล สโมสรคู่ปรับร่วมแคว้นกาตาลุญญา
อย่างไรก็ดี ในบทวิเคราะห์ ซึ่งรวมถึงจาก กิลเญม บาลาเก ผู้สื่อข่าวฟุตบอลสเปนชื่อดังเอง วิเคราะห์สถานการณ์อยู่ถึงแค่จุดนี้ครับ เขายังเชื่อว่า โปเชตติโนจะไม่ออกจากสเปอร์ส แม้ว่าอนาคตจะไม่ได้อยู่ในมือของเขาก็ตาม
เวลานั้นไม่มีใครคิดว่าฟ้าจะผ่าลงมากลางลอนดอนในตอนค่ำ
จนกระทั่งมีแถลงการณ์จากสเปอร์ส ที่กูรูอย่างบาลาเกเองถึงกับไม่เชื่อสายตา และต้องมีการแสดงความเห็นเพิ่มเติมผ่านทวิตเตอร์ของตัวเอง
ในถ้อยแถลงนั้น แดเนียล เลวี ประธานสโมสร ชี้แจงเหตุผลในการตัดสินใจว่า มาจากเรื่องของผลงานที่ย่ำแย่อย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
และสโมสรตัดสินใจอย่างรอบคอบแล้ว ไม่ใช่การตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น
บนเหตุผลของเลวี เขามีสถิติสนับสนุนที่พอจะอ้างอิงได้อยู่ครับ
ในฤดูกาลนี้ (2019/20) สเปอร์สทำผลงานในการเริ่มต้นฤดูกาลได้แย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008-2009 โดยเก็บได้เพียง 14 คะแนน จากการเล่น 12 นัด และจมอยู่ในอันดับที่ 14 เวลานี้ อยู่ห่างจากโซนตกชั้นเพียงแค่ 4 อันดับเท่านั้น
อย่างไรก็ดี สเปอร์สไม่ได้เพิ่งจะย่ำแย่ในฤดูกาลนี้ เพราะความจริงพวกเขาแย่มานานแล้ว โดยตลอดปี 2019 สเปอร์สเป็นทีมที่แพ้ในลีกมากที่สุดถึง 18 นัด
จริงอยู่ที่โปเชตติโนสามารถนำสเปอร์สผ่านเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร ซึ่งเป็นความสำเร็จสูงสุดของเขากับสเปอร์สที่ไม่มีใครจะลืม แต่ลึกๆ แล้วทีมเกิดปัญหาภายในมากมาย
สิ่งที่แย่คือ ปัญหาภายในนั้นไม่ใช่เกิดขึ้นแค่สองฝักสองฝ่าย ไม่ใช่แค่ระหว่างโปเชตติโนกับเลวี หรือโปเชตติโนกับลูกทีม
แต่ปัญหาเกิดขึ้นกับทั้ง 3 ฝ่าย คือ โปเชตติโน นักฟุตบอลในทีม และประธานสโมสร ที่ล้วนมี ‘ปม’ ระหว่างกันและกันทั้งหมด
เรื่องมันจึงยุ่งเหยิงมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ
ภาพของสเปอร์สที่เป็นสโมสรที่มีการบริหารจัดการทีมอย่างยอดเยี่ยม เน้นการสร้างมากกว่าการซื้อ ใช้เงินอย่างคุ้มค่าในการลงทุน และเพิ่งเปิดสนามแข่งขนาดยักษ์แห่งใหม่ที่จะเป็นรากฐานสำคัญของอนาคต รวมถึงการผ่านเข้าชิงแชมเปี้ยนส์ลีก มันช่วยปกปิดความผิดปกติได้บ้าง แต่ก็ไม่สามารถปกปิดได้ตลอดไป
ในมุมของผู้เล่น – เป็นที่รู้และพอจับอาการกันได้มาสักพักแล้วว่า นักเตะระดับแกนนำหลายคนของทีมไม่มีความสุขและต้องการจะย้ายออกจากทีม
คริสเตียน อีริคเซน กองกลางตัวทำเกม ซึ่งเป็นหัวใจหลักของทีมในยุคของโปเชตติโน คือตัวอย่างที่ชัดเจนของคนที่ต้องการจะย้ายออกจากทีมในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังมี โทบี อัลเดอร์ไวเรลด์ ที่ต้องการจะไปตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว, แดนนี โรส ที่มีข่าวจะย้ายทีมมา 3 ฤดูกาลติดต่อกัน ขณะที่ แยน แฟร์ธองเกน เองก็เหลือสัญญาแค่สิ้นสุดฤดูกาลนี้ และไม่คิดที่จะอยู่กับทีมอีกต่อไป
ที่นักเตะเหล่านี้ต้องการจะไป เพราะพวกเขาเชื่อว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พวกเขาได้ทุ่มเทให้กับสโมสรอย่างเต็มที่แล้ว แต่สิ่งที่ได้รับตอบแทนกลับมานั้นไม่คุ้มค่า
หนึ่งในปมปัญหาใหญ่คือ การที่สเปอร์สให้ค่าตอบแทนนักเตะเหล่านี้ไม่มากพอที่พวกเขาต้องการ หรือเชื่อว่าควรจะได้รับ โดยมีตัวกระตุ้นปฏิกิริยาคือ การย้ายทีมของ ไคล์ วอล์กเกอร์ หนึ่งในคีย์แมนของทีม ที่ไปแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และได้รับการตอบแทนค่าเหนื่อยอย่างงาม
ไม่แปลกถ้าพวกเขาจะต้องการก้าวไปต่อ เพราะรู้ว่าอยู่ต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
นักฟุตบอลสเปอร์สมอง แดเนียล เลวี ไม่ต่างจาก ไมค์ แอชลีย์ ประธานสโมสรนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ซึ่งขึ้นชื่อว่า เคี่ยวและเลวร้ายที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ และทุกอย่างก็เลวร้ายยิ่งขึ้น เมื่อทุกคนรู้ว่า เลวีได้รับเงินตอบแทนจากการทำงานถึง 6 ล้านปอนด์ เมื่อปีกลาย
ความไม่พอใจนั้นนำไปสู่การเคลื่อนไหวของเลวี ที่สุดท้ายต้องยอมผ่อนปรนเรื่องเพดานค่าเหนื่อยของสโมสร ยอมต่อสัญญากับนักเตะระดับสตาร์หลายราย เช่น แฮร์รี เคน, เดเล อัลลี, เอริค ลาเมลา โดยคนที่ได้มากที่สุดคนหนึ่งคือเคน ที่ได้เพิ่มจาก 120,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ เป็น 150,000 ปอนด์ และมีโอกาสจะเพิ่มถึง 200,000 ปอนด์ ตามเงื่อนไข
แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้นักเตะเหล่านี้รู้สึกพอใจขึ้นจนลืมทุกอย่าง
ในอีกด้านหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างโปเชตติโนกับลูกทีมเองก็มีแต่จืดจางลง
5 ปีครึ่งที่ผ่านมา สเปอร์สเป็นทีมที่ ‘พิเศษ’ กว่ายุคไหนได้ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างนายใหญ่ชาวอาร์เจนไตน์กับลูกทีมที่หลอมรวมความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน
นักเตะมีความเชื่อในตัวของผู้จัดการทีม และมันคือต้นกำเนิดพลังวิเศษที่ช่วยให้สเปอร์สก้าวขึ้นมาเป็นสโมสรระดับท็อปของอังกฤษ ได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีก 4 ฤดูกาลติด ทั้งๆ ที่ 22 ฤดูกาลก่อนหน้านี้ พวกเขาเคยได้ไปรายการระดับสุดยอดของยุโรปเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ในการจะเล่นสไตล์ของโปเชตติโน นักฟุตบอลจำเป็นต้องทุ่มเทพลังทุกอย่างจนถึงที่สุด
การเพรสซิงเร็ว การวิ่งให้มากกว่าคู่แข่ง การเต็มที่กับทุกจังหวะ การเล่นอย่างละเอียดในทุกจุด
ในระยะแรกนั้นดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็เริ่มล้า
ตามรายงานเชิงลึก นักเตะในทีมเริ่มเบื่อหน่ายกับการฝึกสอนของโปเชตติโน ที่ ‘ซ้อมเหมือนเดิม พูดเหมือนเดิม’ ในขณะที่สภาพร่างกายของผู้เล่นในทีมเริ่มรับกับความต้องการของเจ้านายไม่ไหว ไม่ใช่ทุกคนจะทนตะบี้ตะบันได้เหมือนเดิมตลอด
มันมาถึงจุดที่นักเตะอ่อนล้า ไม่เฉพาะร่างกาย แต่ยังรวมถึงจิตใจ
อาจจะไม่ถึงขั้นที่สามารถพูดได้ว่า โปเชตติโนได้สูญเสียความไว้วางใจจากลูกทีม เพราะนักเตะทุกคนเองก็รู้คุณคน พวกเขารู้ดีว่า หากไม่มีนายใหญ่คนนี้ พวกเขาก็คงไม่สามารถจะก้าวมาได้ไกลถึงเพียงนี้
แต่การจะกลับไปเหมือนเดิมเป็นเรื่องที่ยากเกินไป
โปเชตติโนเองก็รู้สึกในแบบเดียวกันครับ เขารู้มาสักระยะแล้วว่า ทีมที่เขามีอยู่กำลังจะหมดไฟ และเรียกร้องต้องการให้สโมสรมีการจัดการเติมผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเพื่อทดแทน
อีริค ไดเออร์, โรส, อัลเดอร์ไวเรลด์, วานยามา, ซิสโซโก, อีริคเซน, แซร์จ อูริเยร์ คือตัวอย่างกลุ่มนักเตะที่เขาต้องการจะให้ย้ายออกไป แต่มีเพียงแค่ เดมเบเล คนเดียวที่ได้ย้ายออกไป
แต่การ ‘ถ่ายเลือด’ ที่เขาต้องการไม่เคยเกิดขึ้น
เราอาจกล่าวได้ว่า จุดเริ่มต้นของการล่มสลายสำหรับสเปอร์สเกิดขึ้นในฤดูกาล 2018/19 เมื่อไม่มีการเสริมนักเตะใหม่เข้ามาแม้แต่เพียงรายเดียว
โปเชตติโนทำอะไรไม่ได้ นอกจากทนใช้นักเตะเท่าที่มีต่อไปก่อน และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็เห็นได้ชัดว่า สิ่งที่เขากลัวนั้นไม่ผิดเลย เพราะสเปอร์สได้สูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในการเล่นของพวกเขาอย่าง ‘แรงขับดัน’ ไป
นักเตะเหล่านี้ไม่สามารถจะเล่นได้ดุดันเหมือนที่เคยเป็นในปี 2016 หลายคนฟอร์มตกและยังหาทางกลับไม่เจอ แม้กระทั่งนักเตะที่เคยถูกมองว่าจะเป็นสตาร์แห่งอนาคตอย่าง อัลลี
แน่นอนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น ความสัมพันธ์ระหว่างโปเชตติโนกับเลวี หรือกับลูกทีมเองที่มองตากันไม่สนิทใจเหมือนเดิม ทำให้เขามีความคิดว่าอยากจะไปเริ่มต้นใหม่กับสโมสรที่ใดสักแห่ง โดยก่อนหน้านี้มีแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและเรอัล มาดริด ที่ให้ความสนใจในตัวเขาอย่างจริงจัง
แต่กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ยังตัดสินใจได้ไม่เด็ดขาด อารมณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไปมาเหมือนคลื่นและแรงลม ดีบ้างร้ายบ้าง แต่ก็เคยยอมรับว่า เขาคิดที่จะไปจริงๆ หากทีมล้มลิเวอร์พูลได้ในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีกได้ แต่เมื่อไม่สำเร็จ สิ่งที่เขาทำคือ การเดินทางกลับบ้านที่บาร์เซโลนา ไม่ได้ร่วมเดินทางกลับมาลอนดอนกับลูกทีม (และทำให้มีรอยร้าวเกิดขึ้น)
แม้กระทั่งก่อนจะถูกสั่งปลด ซึ่งความจริงแล้วมีการเจรจากันระหว่างฝ่ายเขาและฝ่ายบริหารมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ก็ยังไม่มีทีท่าที่ชัดเจนจากฝั่งของโปเชตติโน
สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะเขามีความรัก ผูกพัน และภูมิใจกับสิ่งที่เขาสร้างอย่างมาก รวมถึงยังคงเชื่อว่า สเปอร์สจะมีอนาคตที่สวยงามภายใต้บ้านหลังใหม่ ในวงเล็บว่า หากเขาสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
นั่นเป็นหนึ่งในเหตุที่ฉุดรั้งเขาเอาไว้ ขณะที่เหตุผลประกอบคือ การที่สถานการณ์ในเวลานี้เปลี่ยนแปลงไป โอกาสจะไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดหรือเรอัล มาดริดไม่น่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้
แต่สำหรับเลวี ซึ่งประนีประนอมมาพอสมควรในช่วงฤดูร้อนด้วยการเสริมทัพให้หลายราย รวมถึง ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล และเกือบได้ เปาโล ดีบาลา มาร่วมทีม เขาขอเลือกที่จะไม่รออีกต่อไป
แม้รู้ทั้งรู้ว่านี่คือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดของเขานับตั้งแต่เข้ามาเป็นประธานสโมสรตั้งแต่ปี 2001 เพราะเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะหาคนที่มีความสามารถและสามารถทำงานภายใต้กรอบนโยบายของเขาได้ดีเท่ากับโปเชตติโน แต่เขาเชื่อว่า ไม่มีหนทางที่กุนซืออาร์เจนไตน์จะนำทีมกลับมาได้
อาจจะโหดร้าย แต่ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้
สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดในเรื่องนี้ในความรู้สึกของผมคือ เลวีน่าจะให้โอกาสและเวลากับโปเชตติโนจนถึงสิ้นสุดฤดูกาล เพราะการแยกทางกันตรงนี้ ตอนนี้ มันดูจะเร็วเกินไปสักหน่อย เมื่อคิดถึงสิ่งที่พยายามร่วมสร้างด้วยกันมา
เป๊ป กวาร์ดิโอลา ก็เคยมีช่วงเวลาที่เลวร้ายกับบาร์เซโลนาและบาเยิร์น มิวนิก แต่ก็ยังได้รับโอกาสในการทำงานจนจบฤดูกาล
เจอร์เกน คล็อปป์ เคยเจอสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่าโปเชตติโนในฤดูกาลสุดท้ายของเขากับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แต่สุดท้ายสโมสรก็ยังให้อยู่ทำทีมจนได้บอกรักและบอกลาแฟนๆ ด้วยน้ำตา
หรือ อาร์แซน เวนเกอร์ อยู่ทนกับอาร์เซนอล เป็นเวลาหลายปี ก่อนที่สุดท้ายจะยอมรับการตัดสินใจของสโมสรที่ต้องการให้เขาวางมือ แต่อย่างน้อยก็ได้บอกลาอย่างสมเกียรติ
ในสิ่งที่โปเชตติโนทำให้สเปอร์สมาทั้งหมด ผมเชื่อว่า เขาควรจะได้รับการบอกลาที่เหมาะสมเมื่อจบฤดูกาล
แต่ชีวิตก็มักจะโหดร้ายแบบนี้เสมอ
อย่างไรก็ดี ในความรู้สึกของแฟนสเปอร์ส ถึงจะไม่มีความสำเร็จเป็นรูปธรรม แต่โปเชตติโนจะมีพื้นที่อยู่ในหัวใจของพวกเขาเสมอ
ความทรงจำดีๆ ที่มีร่วมกัน การต่อสู้ฟันฝ่าหนักหนาสาหัสที่ผ่านมา
คืนแห่งปาฏิหาริย์ที่อัมสเตอร์ดัม ภาพของโปเชตติโนที่หลั่งน้ำตาขอบคุณทั้งนักเตะและแฟนบอลทุกคน และยังไม่อาจสะกดกลั้นความรู้สึกได้แม้กระทั่งในช่วงของการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน
ความรักที่เขามีให้สเปอร์สนั้นคือของแท้ และความทรงจำเหล่านี้ไม่มีอะไรจะพรากไปได้
เรื่องของเรื่องคือ เวลามันแค่หมดลงสำหรับเขา
และทุกคนก็มีเส้นทางของตัวเองให้ก้าวเดินต่อไป
The Special One คือทางออกที่ถูกต้อง?
คำถามต่อมาสำหรับสเปอร์สคือ การแต่งตั้ง โชเซ มูรินโญ เป็นนายใหญ่คนใหม่ (ในบทเฮดโค้ช ไม่ใช่ผู้จัดการทีม!) แค่ 12 ชั่วโมงหลังการปลดโปเชตติโน คือทางออกที่ถูกต้องไหม
ในความรู้สึกของผมเองแล้วคิดว่าไม่ใช่
จริงอยู่ที่ The Special One คือยอดผู้จัดการทีมระดับหัวแถวของโลก ซึ่งแม้จะผลงานตกต่ำลงในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะกับเชลซีหรือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่มาตรฐานผลงานของเขาก็ถือว่าการันตีความสำเร็จได้ประมาณหนึ่ง
แต่ปัญหาอยู่ที่แนวทางและสไตล์การทำทีม
โดยเฉพาะการทำงานภายใต้เจ้าของสโมสรที่เขี้ยวลากดินอย่างเลวี ในช่วงเวลาที่สโมสรจำเป็นต้อง ‘รัดเข็มขัด’ เพราะมีภาระผูกพันก้อนใหญ่กับการสร้างสนามที่ใช้เงินมากมายมหาศาลถึง 1,000 ล้านปอนด์ (สโมสรต้องกู้เงิน 637 ล้านปอนด์ เพื่อดำเนินการ แต่ 500 ล้านปอนด์ เป็นการรีไฟแนนซ์)
นั่นจะขัดกับแนวทางของมูรินโญ ที่เป็นคนที่ชอบซื้อผู้เล่นที่ตอบโจทย์ของตัวเองมากกว่าจะสร้างหรือพัฒนาผู้เล่นที่มีอยู่
น่าสนใจว่า มูรินโญจะทำงานร่วมกับเลวีได้จริงหรือไม่
อย่างไรก็ดี เมื่อคิดถึงสถานการณ์ คิดถึงทางเลือกที่มีอยู่ในตลาดของเลวี และคิดถึงทางเลือกของมูรินโญที่รอคอยงานใหม่มายาวนานตั้งแต่โดนปลดจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนธันวาคมปีกลาย ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก การเจรจาจึงเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่กี่วัน
เช่นนั้นก็อาจจะหาจุดตรงกลางที่สามารถทำงานร่วมกันได้ อย่างน้อยในช่วงนี้
แต่ที่ต้องจับตาก่อนคือ อาการของลูกทีมสเปอร์สว่า พวกเขาจะปรับตัวเข้ากับสไตล์การทำงานของมูรินโญ ซึ่งมีความแตกต่างจากโปเชตติโนอย่างมากได้หรือไม่
ไม่เฉพาะในสไตล์การเล่น แต่เป็นเรื่องของสไตล์การทำงาน เรื่องความสัมพันธ์
ถ้ามูรินโญสามารถเอาชนะใจผู้เล่นได้เร็ว เขามีโอกาสจะพาทีมกลับมาผงาดได้อีกครั้ง
แต่ถ้าทำไมได้ ก็มีโอกาสที่ The Special One จะเอาชื่อมาทิ้ง (ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขายอมรับงานกับสโมสรในระดับที่ไม่ใช่ Big Team) เหมือนที่เจอฝันร้ายในโอลด์แทรฟฟอร์ด
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล