วันนี้ (3 ตุลาคม) มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาสารเคมีเกษตร 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต หลังมีการระงับใบอนุญาตและไม่มีการต่ออายุใบอนุญาตนำเข้าสารทั้ง 3 ชนิดตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อแบนสารดังกล่าวให้หมดไปภายในปี 2562 โดยสุ่มตรวจบริษัทผู้ผลิต นำเข้า และจำหน่ายในนิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ จากนั้นเดินทางไปยังบริษัทเดียวกันอีกแห่งในพื้นที่เขตบางพลัด กรุงเทพฯ
โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุว่าวันนี้ได้เดินทางเพื่อมาตรวจสอบการนำเข้าสินค้าและวัตถุอันตรายทางการเกษตร จากการตรวจสอบเบื้องต้นได้ขอตรวจใบอนุญาตทั้ง 3 สาร ซึ่งบริษัทให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
จากข้อมูลของบริษัทในนิคมอุตสาหกรรมระบุว่า ปี 2561 มีการนำเข้าพาราควอต 5.8 แสนกิโลกรัม ส่วนปี 2562 ไม่มีตัวเลขแจ้งการนำเข้า แต่มีสต๊อกสารพาราควอตอยู่ 3 แสนกิโลกรัม โดยรับซื้อมาจากบริษัทภายในประเทศ ขณะที่ปี 2562 มีการนำเข้าไกลโฟเซต 5 แสนกิโลกรัม เหลือสต๊อก 2.7 แสนกิโลกรัม ส่วนบริษัทที่ 2 เป็นบริษัทในเครือเดียวกัน ไม่มีสต๊อกสารเคมีคงค้าง โดยที่ผ่านมากรมวิชาการเกษตรจะเป็นผู้กำหนดโควตาสารเคมีดังกล่าว
“การลงพื้นที่วันนี้เป็นการติดตามต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว จุดประสงค์หลักคือต้องการตรวจสอบตัวเลขสต๊อกสารเคมีที่แท้จริงเพื่อไม่ให้ข้อมูลซ้ำซ้อนกัน อีกทั้งจากการสอบถามข้อมูลของผู้ประกอบการพบว่าการส่งออก 3 สารเคมีไปต่างประเทศได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า เพราะเป็นการให้เกษตรกรนำมาใช้ประโยชน์และช่วยลดต้นทุนการผลิต ขณะที่การส่งออกก็ไม่เสียภาษี ดังนั้นตนจึงมองว่าเกษตรกรไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ จึงอาจเสนอแนวทางเก็บภาษีแก่ผู้ส่งออกสารเคมีดังกล่าว และนำเงินภาษีมาใช้ส่งเสริมโครงการที่เป็นประโยชน์กับเกษตรกร อาทิ โครงการเกษตรอินทรีย์” มนัญญากล่าว
ทั้งนี้จะรวบรวมข้อมูลจากการลงพื้นที่ทั้งหมด โดยต้องตรวจสอบให้ชัดเจนอีกครั้งก่อนจะนำไปเสนอพิจารณาในการประชุมวันจันทร์นี้ เพื่อดำเนินการหาแนวทางในการยกเลิกสารเคมีดังกล่าวต่อไป
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์