ลูกข่างโทเทมที่ไม่รู้จะหยุดหมุนหรือไม่ ก่อนภาพจะตัดไป End Credit คือจุดเริ่มต้นของอภิมหาทฤษฎีและข้อถกเถียงนับไม่ถ้วน ที่ทุกวันนี้เหล่าคนดูก็ยังสรุปกันไม่ได้ว่าอะไรคือ ‘ความฝัน’ และอะไรคือ ‘ความจริง’ ในภาพยนตร์เรื่อง Inception ซึ่งได้สร้างปรากฏการณ์จับเข่าคุยหน้าโรงหลังชมเสร็จ และนำพาหนังไปสู่เสียงตอบรับดีเยี่ยมจากนักวิจารณ์ ซึ่งต่างชื่นชมไอเดียสุดสร้างสรรค์และความสลับซับซ้อนของบท หลังออกฉายรอบปฐมทัศน์ในลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2010
ในปี 2002 คริสโตเฟอร์ โนแลน ได้นำบทคร่าวๆ จำนวน 80 หน้า เกี่ยวกับไอเดียโจรขโมยความฝันที่เขาได้แรงบันดาลใจมาจากภาวะฝันซ้อนฝัน ยื่นเสนอให้ Warner Bros. แต่ก็ตัดสินใจพับโปรเจกต์ไป เพราะคิดว่ายังไม่มีประสบการณ์มากพอ กระทั่ง 7 ปีผ่านไป โนแลนได้ใจเปิดโปรเจกต์นี้ขึ้นมาอีกครั้ง โดยควบตำแหน่งเขียนบทและกำกับด้วยตนเอง พร้อมแคสต์ทีมนักแสดงแถวหน้าชุดใหญ่มาขึ้นจอ ทั้ง ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ, วาตานาเบะ เคน, โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์, มารีออน คอทียารด์, เอลเลน เพจ, ทอม ฮาร์ดี, คิลเลียน เมอร์ฟีย์ และไมเคิล เคน
Inception ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ด้วยรายได้กว่า 828.3 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทุนสร้าง 160 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมยังเป็นขวัญใจในหมู่นักวิจารณ์ซึ่งต่างยกย่องการกำกับ เทคนิคงานสร้าง บท ดนตรี และทีมนักแสดง โดยยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 8 สาขา และคว้ามาได้ 4 สาขา ได้แก่ ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม, ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม และเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม
Inception เป็นเรื่องราวของ ดอม นักจารกรรมความคิดฝีมือพระกาฬ ที่ทำงานผ่านการแชร์ความฝันเข้าไปในจิตของเป้าหมาย เหตุการณ์เริ่มขึ้นเมื่อ ไซโตะ นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นจ้างวานเขาด้วยงานชิ้นหนึ่ง แลกกับการลบประวัติอาชญากรรมทั้งหมดที่เคยมี แต่สิ่งที่ไซโตะต้องการไม่ใช่การขโมยความคิด แต่เป็นการปลูกถ่ายความคิดลงไปยังเป้าหมาย ดอมรับงานแม้คู่หูอย่างอาเธอร์จะคัดค้าน ก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มออกตามหาทีมงาน อันประกอบไปด้วย นักปลอมแปลง, นักเคมี และสถาปนิก โดยหารู้ไม่ว่าภารกิจนี้เต็มไปด้วยอันตรายที่เฝ้ารอจู่โจมพวกเขาอยู่แบบไม่ทันตั้งตัว
ภาพ: Warner Bros.