นับตั้งแต่เพลง Please, แผลเป็น, ทางของฝุ่น ของ อะตอม-ชนกันต์ รัตนอุดม ถูกส่งผ่านถึงผู้ฟัง เสียงหวานๆ เศร้าๆ เนื้อเพลงเศร้าซึ้งถึงใจที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาก็ถูกเปิดและถูกพูดถึงซ้ำๆ ไม่เคยเก่ามาตลอดระยะเวลา 2-3 ปีบนเส้นทางศิลปินที่เขาเลือกเดิน
THE STANDARD POP มีโอกาสพูดคุยกับเขาอีกครั้งในช่วงที่เขาและเพื่อนๆ ทั้งหมดจากค่าย White Music กำลังจะมีงานคอนเสิร์ตประจำค่าย WHITEHAUS #3 : TIME TRAVELLER CONCERT เพื่อพาทุกคนกลับไปทบทวนและฉายภาพให้เห็น ‘ช่วงเวลา’ สำคัญในชีวิต ที่บางเรื่องก็หนัก บางเรื่องก็เศร้า บางเรื่องก็หาแก่นสารไม่ได้
แต่ทั้งหมดล้วนหลอมรวมและทำให้ตัวเขายังคงเป็นตัวเขาที่พวกเราเห็นได้ในทุกวันนี้
ช่วงเวลา…ในมหาวิทยาลัยที่ใช้ไปกับเสียงเพลง
ผมน่าจะกลับไปคิดถึงเวลานี้บ่อยที่สุด ช่วงที่เล่นดนตรีในร้านเหล้าที่ชื่อก้ำกึ่งทุกวันพฤหัสบดีกับวง Club Thursday เป็นเวลาที่ไม่ต้องคิดอะไรมากนอกจากสนุกและมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ รายได้ก็ไม่เยอะนะ แล้วพอได้มาก็หมดตั้งแต่ลงมาจากเวทีนั่นแหละ (หัวเราะ)
ชีวิตของผมคอนทราสต์กันมากตอนนั้น เพราะผมเรียนคณะนิติศาสตร์ที่เรียนหนัก ควรจะตั้งใจเรียน อ่านหนังสือตลอดทั้งเทอม แต่พอรู้ตัวว่าชอบดนตรีมากกว่า ผมก็แทบไม่เข้าเรียนเลย (หัวเรา) โชคดีที่คณะผมเก็บคะแนนด้วยการสอบ 100% สามารถอ่านหนังสือสอบอย่างเดียวได้ ซึ่งผมผ่านทุกครั้งนะ ไม่เคยต้องสอบซ่อมหรือเรียนใหม่
แล้วก็เป็นช่วงที่ให้เวลากับการเขียนเพลงเยอะมาก ตอนกลางคืนผมเล่นดนตรี แฮงเอาต์ตามปกติ แต่พอตอนกลางวันจะหารถเข้าไปในมหาวิทยาลัยเพื่ออ่านหนังสือหรือหาที่นั่งเขียนเพลง เป็นช่วงที่ได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองเยอะมาก รู้สึกว่าในวัยนั้นผิวหนังยังบาง (หัวเราะ) มีอะไรมากระทบมันก็รู้สึกไปหมดเลย มีทั้งความอึดอัด อัดอั้น มีเรื่องราวถ่ายทอดผ่านเพลงออกมาอย่างพรั่งพรู
วันก่อนผมเพิ่งกลับบ้านแล้วเห็นสมุดเล่มที่เคยเขียนพวกเพลง Please, แผลเป็น, ทางของฝุ่น เอาไว้ กับอีกหลายๆ เพลงที่พอเห็นแล้วรู้สึกเลยว่า โอ้โห มึงก็ว่างเหมือนกันนะเนี่ย (หัวเราะ) ซึ่งผลงานในอัลบั้มต่อๆ ไปก็จะไม่ใช่เพลงแนวนั้นเสียทีเดียว จะเป็นเพลงแบบอะตอมในเวอร์ชันที่ผ่านเรื่องพวกนั้นมาหมดแล้ว เป็นอะตอมเวอร์ชันที่หนังหนาขึ้น รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่โอดครวญหรือฟูมฟายแบบนั้นแล้ว (หัวเราะ)
ช่วงเวลา…ที่เริ่มคิดถึงสุขภาพ
พอถึงอายุเท่านี้ สิ่งที่คิดถึงบ่อยพอๆ กับหน้าที่การงานและอดีตก็คือสุขภาพที่โผล่มาชัดมากๆ ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ผมยังโชคดีที่ไม่มีสัญญาณเตือนรุนแรงแบบล้มหมอนนอนเสื่อ แต่รู้สึกว่าร่างกายเริ่มเอาคืน เหมือนเล่นมันไว้เยอะ ใช้ชีวิตหนักจนมันบอกว่ากูจะไม่ทนกับมึงแล้วนะ ถ้ามึงไม่เลิก มึงร่วงแน่ ก็เลยต้องปรับตัว
ผมเป็นคนกินไม่ดีมาตั้งแต่เด็กแล้ว กินแต่จังก์ฟู้ด น้ำอัดลม กลายเป็นเด็กอ้วนมากๆ กว่าจะรู้ตัวก็ช่วงมัธยมที่เริ่มกู้ตัวเองกลับมา พอเข้าช่วงวัยรุ่นก็เป็นการทำลายในรูปแบบอบายมุขต่างๆ ที่มาพร้อมกับเพื่อน กับความคึกคะนอง ซึ่งตอนนั้นไม่รู้สึก เพราะร่างกายยังไหว ปาร์ตี้หนักขนาดไหน ตื่นมาก็พร้อมลุยอีกรอบแล้ว แต่พออายุเริ่มใกล้ 30 มันเริ่มไม่ได้แล้วแฮะ สุขภาพมันใช้เงินซื้อไม่ได้ ถ้าไม่เริ่มดูแลผมคงแย่แน่ๆ แล้วผมอยากเพลาๆ ลงก่อนที่จะติดนิสัยไปจนแก่ ผมคิดภาพตัวเองว่าต้องกินเหล้าทุกวันไปจนอายุ 40-50 มันจะไม่ใช่แค่สุขภาพนะ ทุกเรื่องในชีวิตมันจะแย่ตามไปหมดเลย
ช่วงเวลา…ที่ความรักคือการเป็นของกันและกัน
ตอนอยู่มหาวิทยาลัยผมเคยมีแฟน นอกจากเล่นดนตรี เขียนเพลง เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตก็ใช้ไปกับเขา ด้วยความที่เป็นเด็กหอ มีอิสระ อยู่ใกล้กัน บางครั้งก็ออกไปเที่ยวต่างจังหวัด แฮงเอาต์ด้วยกัน
ตอนมีแฟนจะรู้สึกว่าเวลาทำอะไรก็ต้องทำด้วยกัน เธอต้องเป็นแบบนี้ ฉันต้องเป็นแบบนั้น เธอและฉันต้องเป็นของกันและกัน ตัวติดกันตลอดเวลา ซึ่งเป็นแบบนั้นมันก็ดีนะ มีความสุขแบบหนึ่ง แต่พอโตขึ้นมาเราก็รู้สึกอีกแบบหนึ่ง เป็นความรักที่ให้สเปซซึ่งกันและกันมากขึ้น ไม่ต้องตัวติดกันตลอดเวลา
ช่วงเวลา…ที่คิดถึงครอบครัว
ไม่ว่าจะอายุเท่าไร ครอบครัวจะอยู่ในลำดับหนึ่งในชาร์ตสิ่งสำคัญในชีวิตของผมเสมอ ถึงแม้ช่วงปีที่ผ่านมาเราจะได้ใช้เวลากับเขาน้อยลงไปเยอะมากๆ แต่รู้สึกว่าถ้าปล่อยให้เขาอยู่หลังงานหรืออะไรก็ตามในใจเรา มันจะทำให้เรายิ่งห่างกันไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นครอบครัวต้องมาก่อน เพราะเขาดูแลและซัพพอร์ตเรามาตลอด
ซึ่งเรื่องที่ผมคิดถึงส่วนใหญ่จะเป็นการโกหกปลิ้นปล้อนของผมที่ทำให้โดนดุและโดนตีอยู่บ่อยๆ (หัวเราะ) ผมไม่ได้ถึงขนาดเป็นเด็กดื้อนะ แต่จะเป็นแนวขี้เกียจ ไม่ชอบทำการบ้าน โกหกไปมาจนโดนจับได้ แล้วเวลาเกิดปัญหาก็จะแก้ปัญหาแบบเด็กๆ
จำได้เลยว่ามีครั้งหนึ่งที่แม่ซื้อเกมบอยให้ แต่ผมโดนเพื่อนที่โรงเรียนขโมย พอบอกครูเขาก็ช่วยไม่ได้ เลยแก้ปัญหาด้วยการขโมยเงินแม่ไปซื้อเกมบอยสีเดิม รุ่นเดิมเป๊ะ แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดท้ายแม่ก็จับได้อยู่ดี คือเป็นเด็กโง่ที่กลัวถูกด่าว่าทำหาย แต่ไม่กลัวถูกด่าว่าขโมยของ ซึ่งการทำของหายนั้นเราไม่ผิด แต่ขโมยเงินนี่ผิดเต็มๆ อยู่แล้ว คือเลือกแก้ความผิดด้วยการทำความผิดที่แย่ยิ่งกว่าเดิม (หัวเราะ)
ช่วงเวลา…ที่ถูกหมอดูตัดสิน
เหตุการณ์หนึ่งที่ผมมักจะนึกถึงบ่อยๆ คือแม่ผมเป็นคนชอบดูดวง เพราะต้องยอมรับว่าที่บ้านผมไม่ใช่ครอบครัวที่สบาย มีความเดือนชนเดือน พ่อกับแม่ต้องเหนื่อยมากเหมือนกัน แล้วรู้สึกว่าเขาคงอยากได้ยินถ้อยคำที่ทำให้เขาสบายใจ เพราะไม่รู้ว่าชีวิตจะรอดไปถึงขนาดไหน แล้วหมอดูทำให้เขารู้สึกสบายใจได้ ซึ่งตอนเด็กๆ ยังไม่ได้คิดอะไร แม่เห็นว่าดี แม่เห็นว่าชอบ ผมก็ไปด้วย
ซึ่งมันมีหลายๆ อย่างที่ผมไม่ชอบฟังนะ ครั้งที่จำได้แม่นคือมีหมอดูบอกว่าผมต้องรับราชการ เป็นนักร้องไปก็เจ๊ง ไปไม่รอด ไม่มีวันดังหรอก ผมก็ฟังเงียบๆ แต่ในใจพูดว่า พ่อมึงดิ มึงเป็นใครถึงมาบอกว่ากูทำไม่ได้วะ (หัวเราะ)
มันไม่ได้ถึงขนาดเป็นจุดเปลี่ยนหรือแรงบันดาลใจว่ากูจะพิสูจน์ตัวเอง พิสูจน์ให้มึงเห็นว่ากูทำได้อะไรขนาดนั้นนะ แรงขับที่ทำให้เราอยากเป็นนักดนตรี ยังคงมีความชอบและความรักที่จะเป็นนักดนตรีอยู่ แต่คำพูดนั้นเหมือนเป็นอีกเสี้ยวหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเวลาคนพูด เขาพูดอะไรก็ได้ แต่คนที่ทำให้เกิดขึ้นจริงคือเรา และเราจะทำสิ่งที่เราคิดและฝันให้เป็นจริงได้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะจริงจังกับมันมากขนาดไหน และผมก็จริงจังกับสิ่งที่ผมเลือกมาตลอด
ช่วงเวลา…ที่เริ่มเดินทางสายดนตรีเต็มตัว
ช่วงเวลาที่ผมคิดถึงบ่อยๆ ไม่ใช่ช่วงที่เริ่มมีชื่อเสียงนะ แต่เป็นช่วงก่อนหน้านั้นตั้งแต่ช่วงรอคอยที่เหมือนผมเดินอยู่ในโคลนที่หนืดเหนียว เราออกแรงเดินนะ เราเหนื่อย เราทรมาน แต่ไม่ไปไหนสักที จนพี่บอล อพาร์ตเมนต์คุณป้า มาช่วยเป็นโปรดิวเซอร์ให้ ได้เจอคนที่พร้อมให้เวลาและพลังกับเราในการสร้างงานจริงๆ ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เริ่มเดินไปในทางที่ถูกต้อง แล้วความเร็วมันเพิ่มขึ้นเยอะมาก
กับอีกช่วงหนึ่งคือช่วงออกทัวร์เป็นนักร้องคอรัสกับพี่บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ เป็นช่วงสำคัญที่ผมได้ขึ้นไปอยู่บนเวทีในฐานะกึ่งๆ นักสังเกตการณ์การทำงานของทั้งพี่บุรินทร์และพี่ๆ นักดนตรีที่เขาเจนกับเส้นทางดนตรีกันทุกคน ได้ประสบการณ์การใช้ชีวิตจากพวกเขา ได้เห็นวิธีการเพอร์ฟอร์มบนเวที ได้มีช่วงที่พี่บุรินทร์ชอบลากให้ผมขึ้นไปร้องเพลง คิดถึงพี่ไหม (โอภาส ทศพร) คนเดียว เหมือนช่วงการเตรียมตัวที่สำคัญก่อนจะขึ้นไปเจอกับคนดูของตัวเองในวันนี้
คิดถึงพี่ไหม (Cover by Atom)
ช่วงเวลา…บนเวทีกับเพื่อนๆ ศิลปิน White Music
WHITEHAUS #3 : TIME TRAVELLER CONCERT เป็นคอนเสิร์ตครั้งที่ 3 ที่พวกเราขึ้นเวทีร่วมกัน ซึ่งมันจะมีความรู้สึก ความสนุก ความเป็นครอบครัว ที่จะเกิดขึ้นกับเฉพาะคนกลุ่มนี้เท่านั้น รวมไปถึงคนดูและแฟนเพลงที่น่ารักของศิลปินแต่ละคนที่จะได้มาเจอกัน มาฟังเพลงของศิลปินที่เขาชอบ แลกเปลี่ยนบรรยากาศและใช้ช่วงเวลานี้ไปพร้อมๆ กัน
ซึ่งพอปีที่แล้วเราเว้นไป 1 ครั้ง สิ่งที่ทุกคนคิดเหมือนกันก็คือเราคิดถึงมวลความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนั้นและอยากให้มันเกิดขึ้นอีกครั้งมากๆ คือความสุขมันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ตอนไปร้องเพลงร่วมกันบนเวที แต่มันเริ่มตั้งแต่ตอนซ้อม ตอนกินข้าว ตอนพูดคุยกันธรรมดา เพราะตามปกติถ้าไม่ได้มีโปรเจกต์ร่วมกัน ถึงเราจะอยู่ค่ายเดียวกัน แต่ก็ไม่ค่อยได้เจอ ไม่ค่อยได้คุยกันนะ
ส่วนสิ่งที่จะเกิดขึ้นใน WHITEHAUS #3 : TIME TRAVELLER CONCERT พาร์ตของคนอื่นๆ ผมคงพูดมากไม่ได้ เดี๋ยวจะไปทำลายซีนของเขาหมด (หัวเราะ) แต่ในพาร์ตของผมที่พอจะพูดได้คือมันจะเป็นช่วงเวลาของความเป็นจริงหลายๆ อย่างในชีวิตที่เกิดขึ้นที่ผมอยากแชร์ให้คนฟังได้รับรู้อย่างละเอียด และเอามาร้อยเรียงผ่านบทเพลง ผ่านช่วงเวลาที่เราจะได้รับรู้มันไปอีกครั้งพร้อมๆ กัน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- WHITEHAUS #3 : TIME TRAVELLER CONCERT จัดขึ้นในวันที่ 21-22 กันยายน 2562 แต่จะเปิดขายบัตรเพียงแค่วันเดียวคือวันที่ 29 มิถุนายน 2562 หมดแล้วหมดเลย ซื้อบัตรได้ที่ www.thaiticketmajor.com
- ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ @White Music