เมื่อวานนี้ (23 พ.ค.) นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เผยว่า ขณะนี้กรมการแพทย์กำลังจัดทำแผนที่ประเทศไทย บ่งชี้พิกัดที่มีผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้กัญชาทางการแพทย์ เพื่อเป็นข้อมูลจับคู่บุคลากรทางการแพทย์ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรการใช้กัญชาอย่างถูกต้อง เข้ากับผู้ป่วยแต่ละพื้นที่ เพื่อให้ผู้ป่วยในทุกพื้นที่มีสิทธิเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ได้อย่างถูกต้อง ทั่วถึง และปลอดภัย โดยจะใช้ฐานข้อมูลจากการแจ้งครอบครองที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานสาธารณสุขทั่วประเทศ รวมถึงข้อมูลที่ได้จากการลงทะเบียนออนไลน์โดยสภากาชาดไทยด้วย
โดยการลงทะเบียนครอบครองกัญชาผ่านระบบออนไลน์ทาง www.cbd-oss.org ของสภากาชาดไทย ตั้งแต่วันที่ 13-21 พ.ค. ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ที่สนใจเข้ามาในระบบออนไลน์ 139,977 คน มีผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จ 31,177 คน ขณะที่การขอยื่นจดแจ้งครอบครองกัญชาทั่วประเทศตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา คาดว่ามีจำนวน 20,000 คน โดยยื่นผ่าน อย. จำนวน 9,537 คน
ทั้งนี้จากผู้มาลงทะเบียนออนไลน์ทั้งหมด พบข้อมูลที่น่าสนใจคือ 5 จังหวัดแรกที่มีผู้มาแจ้งครอบครองกัญชามากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพฯ, นนทบุรี, นครราชสีมา, เชียงใหม่ และปทุมธานี ส่วนโรคที่ผู้ป่วยมาลงทะเบียนมากที่สุดคือ มะเร็ง รองลงมาคือ ไบโพลาร์ ซึมเศร้า และอัลไซเมอร์
โดยอธิบดีกรมการแพทย์ยืนยันว่า ทางการแพทย์จำเป็นต้องใช้กัญชากับกลุ่มโรคที่มีข้อมูลชี้ชัดว่า การใช้กัญชาจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยต่อกลุ่มโรคนั้นๆ ซึ่งปัจจุบันนี้มีเพียง 4 กลุ่มโรค ได้แก่ ภาวะคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด, โรคลมชักที่รักษายากในเด็ก และโรคลมชักที่ดื้อยา, ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยปลอกประสาทเสื่อมแข็ง และภาวะปวดประสาทที่ใช้วิธีการรักษาอื่นแล้วไม่ได้ผล
ส่วนโรคอื่นๆ ที่นอกเหนือจาก 4 กลุ่มโรคนี้ไม่แนะนำให้ใช้ แต่หากจะใช้ควรใช้ในลักษณะการวิจัยเท่านั้น อีกทั้งเพื่อเป็นการเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาต่อยอดการใช้ประโยชน์ต่อไปในอนาคต พร้อมย้ำว่า สารสกัดจากกัญชามีประโยชน์ทางการแพทย์มาก หากนำมาใช้ในสัดส่วนและปริมาณที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นอาจส่งผลต่อระบบประสาท มีอาการดื้อยา และเสพติดการใช้น้ำมันกัญชาได้
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
