The Glass Castle คือหนังดราม่าที่สร้างจากเรื่องจริงของครอบครัววอลส์ ที่มีทั้งความสนุก ประหลาด เพี้ยน เศร้า แต่ก็น่าสนใจไปพร้อมๆ กัน หนังว่าด้วยคำสัญญาของเร็กซ์ (วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน) ผู้เป็นพ่อที่บอกกับลูกๆ ทุกคนว่าเขาจะสร้าง ‘ปราสาทแก้ว’ แสนสวยงามที่ทุกคนในครอบครัวจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป
แต่ในความเป็นจริง เขาเป็นเพียงวิศวกรฮิปปี้ ขี้เมา อารมณ์รุนแรง ที่ไม่สามารถสร้างอะไรขึ้นมาได้จริงสักอย่าง เขาถูกไล่ออกจากงาน ทุกคนในครอบครัวต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนไม่มีหลักแหล่ง ชีวิตแย่ที่สุดถึงขนาดไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อขนมปัง เมื่อลูกๆ เริ่มโตขึ้นและเริ่มมองเห็นความจริงว่า ‘ปราสาทแก้ว’ ที่พวกเธอฝันถึงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ทางเดียวที่ทำได้คือต้องสร้างมันขึ้นมาเอง ก่อนที่จะตัดสินใจค่อยๆ หนีออกจากบ้านแล้วเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงทีละคน
โร้ดมูฟวีในช่วงหนึ่งทำให้นึกถึงหนังอย่าง The Little Miss Sunshine (2006) ต่างกันที่เรื่องราวของครอบครัวฮูเวอร์ดำเนินไปด้วยสีสันสดใส สนุกสนาน เพื่อไปปะทะกับความขัดแย้งที่รุนแรงในตอนท้าย แต่ครอบครัววอลส์มีเส้นเรื่องที่แสนราบเรียบ ไม่หวือหวา (เกือบจะน่าเบื่อในบางครั้ง) แต่มีเรื่องราวของทุกตัวละครเข้ามาปะทะและสร้างความอึดอัดอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งนี่คือข้อดีของหนังเรื่องนี้ แสดงให้เห็นถึงกราฟชีวิตที่ขึ้นลงของตัวละครในฐานะ ‘มนุษย์’ ที่มีปัญหาครอบครัวได้อย่างสมจริงและน่าสนใจ
หนึ่งในสิ่งที่หนังเรื่องนี้ทำได้ดีที่สุดคือ นักแสดงทุกคน โดยเฉพาะ วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน ที่ทำให้เชื่อได้ในทุกพาร์ต ตั้งแต่จริงจัง อบอุ่น อารมณ์รุนแรง รักครอบครัว ขี้เมา และเศร้าสุดหัวใจ (เตรียมเห็นชื่อเขาเข้าชิงออสการ์ปีนี้ได้เลย) และ บรี ลาร์สัน ที่รับบทเป็นเจนเน็ตต์ตอนโต ลูกสาวคนรองที่เชื่อถือพ่อมากที่สุด และเป็นคนที่ผิดหวังในตัวพ่อมากที่สุดเช่นกัน เธออาจจะมีบทไม่เด่นเท่าไร เพราะน้ำหนักเอียงไปที่พาร์ตเด็กมากกว่า แต่ทุกครั้งที่ปรากฏตัวก็ทำให้เราเอาใจช่วยเธอได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะฉากงัดข้อที่เรายกให้เป็นโมเมนต์ที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ไปเลย รวมทั้ง นาโอมิ วัตต์ส ในบทศิลปินแอ็บสแตรกต์ ที่แสดงให้เห็นว่าความเพี้ยน ความมอมแมม ก็ไม่สามารถลบความสวยของเธอไปได้เลย
ตอนท้ายหนังพาตัวละครทั้งหมดไปพบกับ ‘ความจริง’ ในชีวิตที่ทุกคนต้องยอมรับ (แน่นอนว่ายังมีบางตัวละครรับไม่ได้) และโลกก็ไม่ได้ใจดีและมีพื้นที่ทำตามความฝันให้กับทุกคน ตัวละครทุกตัวเคยล้มเหลวกับความฝันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายตัวตนและความรักอิสระของหัวหน้าครอบครัวที่เหมือนจะดูไม่เอาถ่าน แต่อย่างน้อยสิ่งที่เขาพยายามบอกทุกคนมาตลอดว่าให้ ‘เชื่อในตัวเขา’ และ ‘เชื่อในความฝัน’
ถึงแม้สุดท้ายมันอาจไม่มีอะไรเป็นความจริง แต่อย่างน้อยให้มันเคยเกิดขึ้นในความฝัน ให้มันได้หล่อเลี้ยงเป็นพลังงานขับเคลื่อนชีวิตในช่วงเวลาหนึ่ง แค่นั้นก็มีความสุขแล้ว
https://www.youtube.com/watch?v=C64RqEgdDVY