แคริบเบียน (Caribbean) คือทะเลเจ้าเสน่ห์ที่นักท่องทะเลทุกคนต่างถวิลหา
แต่มันต้องมีอะไรที่มากกว่าน้ำทะเลใสแจ๋วสีเทอร์ควอยส์แน่ๆ ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่เทียวไปเทียวมาหาเกาะแก่งน้อยใหญ่ในทะเลแคริบเบียนไม่เว้นแต่ละปี
บางทีแคริบเบียนคงมีมนตราสะกดให้นักท่องทะเลหลงใหลเกลียวคลื่นและน้ำทะเลแห่งแคริบเบียน
บาฮามาส เติร์กแอนด์เคคอส ยูเอสเวอร์จินไอส์แลนด์ เปอร์โตริโก จาเมดา เฮติ เคย์แมน คิวบา โดมินิกัน ฉันทยอยเดินสายสะสมหลักไมล์ในแคริบเบียนมาหมดแล้ว
แต่แถวแคริบเบียนยังมีอีกนับสิบเกาะที่นักล่าเกาะน่าเที่ยวอย่างฉัน อยากจะพาสองเท้าไปย่ำน้ำทะเลที่นั่น หนึ่งในนั้นคือ เกาะกือราเซา (Curacao) เกาะที่อยู่ห่างจากประเทศเวเนซุเอลาอยู่แค่ลิบๆ เท่านั้น นอกจากนั้นยังเป็น 1 ใน 4 ประเทศองค์ประกอบของราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์
กือราเซาเป็นเกาะที่มีสถานะเป็นดินแดนปกครองตนเองแห่งหนึ่งของราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ โดยมีวิลเลมสตัด (Willemstad) เป็นเมืองหลวง
สมัยก่อนทาสชาวแอฟริกาจะถูกส่งเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมาพักยังเกาะแห่งนี้ ก่อนจะถูกส่งไปยังทวีปอเมริกาและเกาะอื่นๆ ในทะเลแคริบเบียน
ฉันข้ามน้ำข้ามทะเลไปหาเกาะกือราเซาในวันที่ทะเลแคริบเบียนเพิ่งผ่านพ้นฤดูเฮอริเคนมาหมาดๆ กลิ่นหมาดฝนยังคงเปรอะเปื้อนเกาะอยู่ แต่แสงแดดอันเผ็ดร้อนยังคงสิงสถิตอยู่กับกือราเซา สำหรับคนบูชาแสงแดด กือราเซาจึงยังหอมหวานเสมอ
ในคลื่นคน ฉันยืนปะปนอยู่หน้าเวิ้งอ่าวอันสวยงามของกือราเซา 80% ของแขกเหรื่อที่มาเยี่ยมเยือนเกาะกือราเซา คือนักล่องเรือสำราญ
ความที่กือราเซาเป็นเกาะอันไกลโพ้นของแคริบเบียน เรียกได้ว่าค่อนไปอยู่ทางเวิ้งของแคริบเบียนตอนใต้ และอยู่ใกล้กับทวีปอเมริกาใต้เสียมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะล่องเรือไปไม่ไกลก็ถึงชายคาเวเนซุเอลาแล้ว
ใครที่อยากมาสำรวจเกาะนี้ ก็มักจะมาโดยเรือสำราญกันจะง่ายกว่าหาเที่ยวบินมาที่นี่ พอยืนอยู่หน้าเวิ้งอ่าว จึงเห็นเรือตึกจอดเรียงรายทอดสมอ หลังจากแต่ละลำคายผู้คนลำละหลายพันออกมาจากเรือสำราญ เยอะราวกับเรือออกลูกเป็นมนุษย์ได้ นั่นเป็นเหตุผลให้เกาะกือราเซาในฤดูท่องเที่ยว มีนักล่องเรือสำราญเดินกันเพ่นพ่านทั่วเกาะ
ยังไม่ทันเข้าถึงเนื้อถึงตัวของเกาะกือราเซา กลิ่นอายแบบดัตช์ๆ ก็ลอยลิ่วมาแตะปลายจมูกเข้าแล้ว มองผาดๆ ก็พอจะเห็นอาคารบ้านเรือนและสถาปัตยกรรมแบบดัตช์ตั้งเรียงรายอยู่ทั้ง 2 ฝั่ง
ที่พูดว่า 2 ฝั่ง เพราะเกาะกือราเซาแบ่งเป็นฝั่งปุนดา (Punda) และฝั่งโอโตรบันดา (Otrobanda) โดยมีสะพานเชื่อมทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกัน สะพานนี้ไม่ธรรมดา เพราะมีเวลาเปิดปิด เพื่อให้เรือวิ่งผ่านไปมาได้ ทั้งคนและรถที่จะข้ามไปมาต้องเผื่อเวลาสำหรับรอสะพานเปิด-ปิดด้วย
พอเห็นสีสันฉูดฉาดของฝั่งปุนดาแล้ว แทบไม่ต้องสงสัย ฉันเดินข้ามสะพานจากฝั่งโอโตรบันดา พุ่งไปหาฝั่งปุนดาทันที
พูดก็พูดเถอะ เกาะกือราเซาสมัยล่าอาณานิคมถูกเปลี่ยนมือไปมาระหว่างเนเธอร์แลนด์และอังกฤษ ก่อนจะกลับมาเป็นของเนเธอร์แลนด์อีก อาคารบ้านเรือนฝั่งนี้เลยกระเดียดไปทางโคโลเนียลดัตช์เสียมากกว่า
กลิ่นหมาดฝนยังคงเปรอะเปื้อนเกาะอยู่ แต่แสงแดดอันเผ็ดร้อนยังคงสิงสถิตอยู่กับกือราเซา สำหรับคนบูชาแสงแดด กือราเซาจึงยังหอมหวานเสมอ
ยังไม่ทันไปไหนไกล อาคารสีเหลืองสดตรงหัวมุมก็เกี่ยวสายตาทุกคู่ให้หยุดมองเสียแล้ว นี่เป็นอาคารเก่าแก่ที่สุดในฝั่งปุนดา อายุอาจจะมากกว่า 300 ปี แต่อาคารแห่งนี้ไม่ได้ดูร่วงโรยไปตามวัยเลย
ใครชอบเมืองเก่าที่แออัดไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลดัตช์ มาเดินซอกแซกในฝั่งปุนดา น่าจะมีความสุขที่สุด ทุกวันนี้อาคารพวกนี้เป็นทั้งร้านค้าที่อวดป้ายแบรนด์ดังของโลกประดับอยู่หน้าร้าน บ้างถูกโมดิฟายเป็นคาเฟ่สุดชิค และร้านอาหารสุดหรู
ฝั่งปุนดาไม่ได้มีแค่อาคารเก่าแก่หรอก ยังมีโบสถ์ซินาก๊อกอายุ 300 กว่าปี ซึ่งเป็นศาสนาของชาวยิวที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปอเมริกา
เดินลัดเลาะไปมา ยังมีตลาดประจำเมือง เป็นตลาดใต้ร่มที่ขายทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ข้าวสาร อาหารแห้ง ไปยันของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว
แต่ที่ดึงดูดแขกเหรื่อของเกาะน่าจะเป็นตลาดลอยน้ำ ที่มีเรือประมงจอดเรียงรายอยู่ นั่นแหละเป็นที่มาของตลาดลอยน้ำ เพราะเรือบางลำขายปลาสดๆ จากบนเรือเลย เรือบางลำมาจากเวเนซุเอลา เพราะเกาะกือราเซาอยู่ใกล้กับชายฝั่งเวเนซุเอลาแค่ 40 ไมล์เท่านั้น
แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแผงผลไม้ที่อวดสีสันน่ามองเหลือเกิน ที่จริงตลาดนี้ไม่ได้มีแค่ผัก ผลไม้ แต่มีซิการ์และน้ำผึ้งดีๆ ขายด้วย อาจจะอยู่ไกลหน่อย แต่ตลาดลอยน้ำแห่งเกาะกือราเซาจะทำให้เพลินอารมณ์แน่นอน
ดูไปดูมาก็ไม่ใช่ตลาดลอยน้ำเสียทีเดียว เพราะเรือก็จอดแนบฝั่ง และพวกแผงผัก ผลไม้ก็มาตั้งอยู่ริมฝั่ง ส่วนในเรือมีพวกชาวประมงนอนเปลญวนกัน เหมือนมาดูวิถีชีวิตของชาวเรือมากกว่า
ยังไม่ทันไปไหนไกล อาคารสีเหลืองสดตรงหัวมุมก็เกี่ยวสายตาทุกคู่ให้หยุดมองเสียนี่ เป็นอาคารเก่าแก่ที่สุดในฝั่งปุนดา อายุอาจจะมากกว่า 300 ปี แต่กลับไม่ดูร่วงโรยไปตามวัย
ผละจากตลาดลอยน้ำ พอเดินข้ามสะพานกลับไปหาฝั่งโอโตรบันดา ฝั่งนี้ก็ดูครึกครื้นไม่แพ้กัน พวกโรงแรมหรูๆ ส่วนใหญ่จะมาปักหลักอยู่ฝั่งนี้ โดยขัดสีฉวีวรรณอาคารในยุคอาณานิคมแปรสภาพให้เป็นเรือนพัก แต่ที่นักท่องเที่ยวมักแวะไปหาคือ พิพิธภัณฑ์คูรา ฮูลันดา (Kura Hulanda Museum) ที่ช่วยบอกเล่าอดีตของกือราเซาที่เคยเป็นศูนย์กลางการค้าทาสของชาวดัตช์ในแถบทะเลแคริบเบียนและทวีปอเมริกามาก่อน
พูดให้เข้าใจง่ายๆ ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับการค้าทาสนั่นเอง สมัยก่อนทาสชาวแอฟริกาจะถูกส่งเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมาพักยังเกาะแห่งนี้ ก่อนจะถูกส่งไปยังทวีปอเมริกาและเกาะอื่นๆ ในทะเลแคริบเบียน
ความจริงใครมีเวลาให้กือราเซาเหลือเฟือ จะตระเวนไปนอนปิ้งร่างย่างตัวรอบๆ เกาะก็ได้ เพราะกือราเซามีชายหาดให้เลือกนอนผึ่งแดดมากกว่า 30 หาด แถมมีแสงแดดปรนเปรอนักเดินทางเกือบตลอดทั้งปี
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักล่าเกาะน่าเที่ยว นักล่องเรือสำราญ หรือเป็นแคริบเบียนเลิฟเวอร์ โปรดรู้ไว้เถอะว่า กือราเซาอาจจะดูเป็นเกาะธรรมดาๆ แต่มีเสน่ห์แพรวพราวอย่างน่าประหลาด
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล