กรมควบคุมมลพิษรายงานสถานการณ์คุณภาพอากาศในพื้นที่ภาคเหนือ ประจำวันที่ 13 มีนาคม เวลา 08.00 น. เฉลี่ย 24 ชั่วโมง พบว่าพื้นที่ส่วนใหญ่มีคุณภาพอากาศอยู่ในระดับ ‘มีผลกระทบต่อสุขภาพ’ หรือระดับสีแดง โดยมีปริมาณฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานในทุกพื้นที่ มีเพียงบางพื้นที่เท่านั้นที่อยู่ในเกณฑ์ ‘เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ’
สำหรับพื้นที่ที่มีค่าฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานมากที่สุดอันดับ 1 คือตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ที่มีปริมาณ PM2.5 พุ่งสูงถึง 170 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่ฝุ่น PM10 สูงถึง 225 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และค่า AQI อยู่ที่ 280 รองลงมาคือ ตำบลนาจักร อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ ที่มีปริมาณ PM2.5 สูงถึง 164 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ค่า PM10 อยู่ที่ 190 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และค่า AQI อยู่ที่ 274 ตามมาด้วยตำบลพระบาท อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ที่มีค่า PM2.5 อยู่ที่ 142 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ค่า PM10 อยู่ที่ 200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และค่า AQI อยู่ที่ 252
ด้านเว็บไซต์ AirVisual ได้เผยแพร่การจัดอันดับคุณภาพอากาศของเมืองต่างๆ ทั่วโลก พบว่าเชียงใหม่ติดอยู่ในอันดับ 1 ของเมืองที่มีมลพิษทางอากาศมากที่สุด โดยมีค่า AQI อยู่ที่ 210 ซึ่งต่างจากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ เนื่องจากกรมควบคุมมลพิษรายงานโดยใช้ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ซึ่งจากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษเมื่อเวลา 08.00 น. เฉลี่ย 24 ชั่วโมง พบว่าพื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่ทีมีมลพิษทางอากาศมากที่สุดคือตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง โดยมีค่า PM2.5 อยู่ที่ 141 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ค่า PM10 อยู่ที่ 183 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และค่า AQI อยู่ที่ 251 ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงกว่าการจัดอันดับของ AirVisual
ทั้งนี้กรมควบคุมมลพิษขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่งดการเผาในที่โล่งเพื่อป้องกันการเพิ่มสูงขึ้นของฝุ่นละอองอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ประชาชนอยู่ในพื้นที่ที่ปริมาณฝุ่นละอองมีผลกระทบต่อสุขภาพ ขอให้หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายและการทำกิจกรรมกลางแจ้ง สวมใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก ประชาชนทั่วไปและกลุ่มเสี่ยงควรเฝ้าระวังสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอบ่อย หายใจลำบาก หายใจถี่ หายใจไม่ออก ใจมีเสียงวี้ด ใจสั่น คลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ แน่นหน้าอก ให้รีบพบแพทย์ ผู้มีโรคประจำตัวควรเตรียมยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นอย่างน้อย 5 วัน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์