ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาเมื่อปลายปีที่แล้ว นักร้องสาวที่ทำลายสถิติบนชาร์ตเพลงมานับครั้งไม่ถ้วนอย่าง เคที เพอร์รี (Katy Perry) ได้กลายเป็นหนึ่งในแกนนำสำคัญฝั่งฮอลลีวูดที่สนับสนุนฮิลลารี คลินตัน และออกไปช่วยหาเสียงให้เธออยู่เป็นประจำ แต่พอผลการเลือกตั้งประกาศว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะ สิ่งที่เคทีตัดสินใจตอบโต้ไม่ใช่การไปประท้วงหน้าตึก Trump Tower บนรถบรรทุกเหมือนเลดี้ กาก้า แต่เธอเลือกที่จะพิมพ์บนทวิตเตอร์ว่า
“อย่าได้แต่นั่งเดียวดาย อย่าร้องไห้ เราต้องเคลื่อนไหว และไม่ปล่อยให้ประเทศเราเดินหน้าต่อไปด้วยความเกลียดชัง”
ข้อความนี้กระจายไปสู่คนที่ติดตามเธอบนทวิตเตอร์เกือบ 100 ล้านคน แน่นอนว่าเคทีมียอดฟอลโลว์เวอร์มากที่สุดในขณะนี้
ช่วงเวลานั้นมีกระแสเล็ดลอดออกมาว่าเคทีกำลังซุ่มทำอัลบั้มเพลงชุดที่ 4 อยู่ ใช้ชื่อว่า Witness ซึ่งเธอได้นิยามซาวด์ใหม่ไว้ว่า ‘Purposeful Pop’ หรือเพลงป็อปที่มีวัตถุประสงค์ เธออยากให้คนเห็นการเติบโตของการเป็นศิลปินมากกว่าสนใจพวกคอสตูม เช่น การยิงวิปครีมออกจากเต้านม วิสัยทัศน์นี้ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง โดยเฉพาะใน 2 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นเทรนด์นักร้องหญิงแถวหน้าหลายคนยอมเสี่ยงที่จะฉีกแนวเพลงไม่ให้ดูตลาดมากนัก และรังสรรค์เพลงที่มีคุณภาพและสร้างมิติใหม่ๆ เช่น ริฮานนา กับอัลบั้ม Anti และบียอนเซ่ กับอัลบั้ม Lemonade พูดได้ว่าถ้าอัลบั้มใหม่ของเคทีออกมาตามที่เธอคาดหวัง และเลือกใช้เรื่องราวการเลือกตั้งมาเป็นแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งในบทเพลง เธออาจทำให้คนที่เคยมองเธอด้วยหางตากลับมามองเธอใหม่อย่างจริงจัง และอัลบั้ม Witness ก็อาจทำให้เธอชนะรางวัลแกรมมีเป็นครั้งแรก หลังจากที่เคยเข้าชิงมาแล้วถึง 13 ครั้ง
ปกอัลบั้ม Witness
เริ่มต้นปี 2017 เคทีได้ปล่อยซิงเกิลแรกกับเพลง Chained to the Rhythm ที่ได้สกิป มาร์เลย์ (Skip Marley) หลานบ็อบ มาร์เลย์ มาฟีเจอริงด้วย เพลงนี้ยังคงมีกลิ่นอายเพลงป็อปจังหวะมิดเทมโป (midtempo) ที่มีสปิริตการปลุกระดมให้คนสู้เพื่อตัวเองเหมือนในเพลง Roar จากอัลบั้มชุดก่อน ซึ่ง Chained to the Rhythm ถือได้ว่าน่าสนใจ ติดหู และมีเนื้อหาที่โตขึ้นมากเลยทีเดียว
พอมาดูในเชิงภาพลักษณ์และองค์ประกอบที่เธอสร้างกับมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ เคทีได้จำลองสวนสนุก Oblivia ขึ้นมา เพื่อสะท้อนสังคมของเราในปัจจุบันที่โดนกดขี่จากผู้มีอำนาจ แม้ภายนอกจะดูเพอร์เฟกต์ไปหมด สิ่งนี้เป็นการเล่นกับ subtext ในทิศทางที่ยังคงเป็นตัวตนของเคที เพอร์รี กับสีสันต่างๆ ที่ไม่ดูโจ่งแจ้งเกินไป และยังคงสนุกอยู่ เพลงนี้เปิดตัวอาทิตย์แรกก็ขึ้นอันดับ 4 บนชาร์ต Billboard Hot 100 และมียอดวิวมิวสิกวิดีโอ 250 ล้านครั้งบนยูทูบภายใน 3 เดือนแรก ถึงแม้เคทียังไม่กล้าถอดขนตา วิก และชุดแนวการ์ตูนต่างๆ ออกจนหมด แต่เราก็รู้สึกได้ว่าเพลงนี้เป็นก้าวใหม่ที่จะทำให้เธอกลายเป็นหนึ่งในกระบอกเสียงของสังคมได้
Bon Appétit คือซิงเกิลถัดมาจากอัลบั้ม Witness ที่ได้กลุ่มศิลปินแรปมาแรงอย่างมิโกส (Migos) มาร้องฟีเจอริงให้ เพลงนี้มีจังหวะบีตดิสโก้เฮาส์ยุค 90s เนื้อหาสื่อถึงการปลดปล่อยทางเพศ โดยเปรียบเทียบกับอาหารชั้นเลิศ (ตรงกับชื่อเพลงภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่ากินอาหารให้อร่อย) ภาพปกซิงเกิลก็เป็นรูปไดคัตหัวของเคทีบนจานผลไม้ และมีมือของมิโกสล้อมรอบ จากตัวเพลงและปกซิงเกิลมันแสดงถึงการกลับมาอีหรอบเดิมของเคทีที่ดูเหมือนจะต้องการขายความเป็นป็อปสตาร์กับภาพลักษณ์ที่ดูปรุงแต่งและอยู่ในกระแส พูดได้ว่าเพลงนี้คงไม่ได้เน้นความเป็น ‘Purposeful Pop’ ตามที่เธอพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้
นักวิจารณ์โนแลน ฟีนีย์ (Nolan Feeney) จากนิตยสาร Entertainment Weekly ได้รีวิวเพลง Bon Appétit เอาไว้ว่า “เคทีได้กลับมาทำเพลงปาร์ตี้สนุกๆ ไร้สาระที่สรรหาการใช้คำอุปมาเกี่ยวกับเซ็กซ์ให้มากที่สุดภายใน 3 นาทีของเพลง พูดง่ายๆ ว่า นี่แหละคือเพลงแบบที่เธอถนัดที่สุด”
Bon Appetit เปิดตัวบนชาร์ต Billboard Hot 100 อาทิตย์แรกที่ลำดับ 76 กับยอดขายแค่ 18,000 ดาวน์โหลด ซึ่งถือว่าน้อยสำหรับนักร้องที่เคยมียอดดาวน์โหลดเพลงหลัก 6,000,000 ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา (เพลง Roar, Firework และ Dark Horse) หลายคนเริ่มกังวลว่านี่จะเป็นซิงเกิลที่แป้กของเคทีและเหมือนเธอจะมาถึงทางตันที่จะพยายามเล่นกิมมิกเดิม แถมคนไม่ซื้อ แต่พอมิวสิกวิดีโอปล่อยออกมา มันก็กลับสร้างสถิติใหม่เป็นมิวสิกวิดีโอของเคทีที่ได้ 16.4 ล้านวิว หรือยอดวิวมากที่สุดใน 24 ชั่วโมงแรก
มิวสิกวิดีโอนี้เล่นกับคอนเซปต์ให้เคทีเป็นวัตถุดิบอาหารที่ต้องผ่านกรรมวิธีต่างๆ จนกระทั่งเสิร์ฟ วิดีโอนี้ถือว่าสะดุดตา แปลก และย้ำชัดว่าเคทีก็เป็นอีกหนึ่งราชินีมิวสิกวิดีโอในสมัยนี้ แต่เพราะเพลงและวิดีโอนี้ไม่ได้สะท้อนอะไรถึงเป้าหมายที่เคทีพูดตอนแรก มันจึงเป็นการพลิกกลับและทำให้หลายคนเริ่มคิดว่า “หรือว่าเคทีได้ล้างคอนเซปต์ความซีเรียสที่วางไว้กับ Witness ในตอนแรก?”
ในเดือนพฤษภาคม เคทีปล่อยเพลง Swish Swish ออกมา ซึ่งแค่แฟนคลับได้เห็นชื่อของแรปเปอร์สาวนิกกี มินาจ มาร่วมร้องในเพลงนี้ด้วย ก็สร้างความตื่นเต้นอย่างล้นหลาม ตัวเพลงเองยังคงใช้ซาวด์แดนซ์เฮาส์ยุค 90s คล้าย Bon Appetit และทำให้นึกถึงเพลง Show Me Love ของนักร้อง โรบิน เอส (Robin S.) แต่สิ่งที่ดันได้รับความสนใจมากไปกว่าการที่ได้นิกกีมาร้องแจมคือ เนื้อหาของเพลงที่ดูเหมือนจะเป็นการโต้กลับเทเลอร์ สวิฟต์ ที่เคยออกมาโจมตีเคทีในเพลง Bad Blood
ตอนแรกที่เคทีเริ่มโปรโมตเพลงนี้ เธอหลีกเลี่ยงการคอนเฟิร์มว่ามันเกี่ยวกับเทเลอร์ และบอกแค่ว่าเป็นเพลงตอบโต้พวกอันธพาลให้เห็นว่าเราไม่ได้เกรงกลัว แต่พอเธอไปออกรายการ The Late Late Show with James Corden ในช่วง Carpool Karaoke เธอก็ได้เปิดโปงปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้น และพูดว่าเทเลอร์ต้องชดใช้กรรมของเธอ แต่ขณะเดียวกันเคทีเองก็บอกว่าจะยอมให้อภัย ถ้าเทย์เลอร์ออกมาขอโทษ เพราะเธอเชื่อว่าการเห็นผู้หญิงมารวมกันเป็นหนึ่งจะเป็นอำนาจบวกที่ยิ่งใหญ่
เหตุผลของเคทีดูเหมือนจะเข้าท่า แต่เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอไม่เลือกชี้แจงแค่ประเด็นนี้และจบทุกอย่างลงสวยๆ แต่เธอกลับทำเพลงนี้ออกมาและทำให้ประเด็นร้อนแรงมากกว่าเดิม หรือนี่คือแผนการโปรโมต? พูดได้ว่าภาพลักษณ์การอยากดูโตขึ้นและสร้างงานดนตรีที่มีความ ‘Purposeful Pop’ จะไม่สำเร็จผลกับเพลงนี้แน่นอนและทิศทางที่เคทีกำลังเดินอยู่ก็เหมือนเป็นการเอาผู้หญิงมาสู้กับผู้หญิงคู่อริอีกรอบ ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่หลักการของสิทธิเสรีภาพของผู้หญิง โดยเฉพาะจากคนที่เป็นแกนนำในการช่วยฮิลลารี คลินตัน หาเสียง เพื่อเป็นประธานาธิบดีผู้หญิงคนแรกของสหรัฐอเมริกา
จากแค่ 3 เพลงแรกที่เคทีปล่อยออกมา Chained to the Rhythm, Bon Appétit และ Swish Swish มันทำให้เห็นถึงความแปรปรวนในการเป็นศิลปินของเคทีกับอัลบั้ม Witness ที่ไม่มีความชัดเจนว่าอยากจะสื่ออะไรกันแน่ สิ่งที่เราหวังว่าจะได้เห็นจากศิลปินคนที่ชื่อเคที เพอร์รี คือการที่เธอหลุดพ้นจากการทำงานเพลงซ้ำๆ ซากๆ ถ้าเธอบอกว่าอยากทำอะไรใหม่ที่ดิบขึ้นและมีคุณค่าขึ้นก็ควรทำไปเลย และไม่ต้องกังวลเรื่องยอดขาย เพราะถ้าอัลบั้มนี้จะไม่ประสบผลสำเร็จเหมือนชุดก่อนๆ ยังไงต้นสังกัด Capitol Records จะไม่ไล่เธอออกแน่นอน
ถ้าเธอลองมองดูมาดอนน่า ซึ่งก็ไม่ได้เป็นนักร้องหรือนักเต้นที่เก่งที่สุด แต่ในทุกผลงานที่ปล่อยออกมาเธอจะพยายามทำให้ตัวเองดูแตกต่างและคาดเดาไม่ได้ มาดอนน่าเองก็ไม่ได้ยึดติดอยู่กับแนวเพลงยุค 80s แบบ Like a Virgin จนคนฟังเอียน เคทีเองจึงควรวิวัฒนาการตัวเองแบบนี้บ้าง เพราะจากการที่ได้ชมเคทีไปแสดงเพลง Part of Me เวอร์ชันอะคูสติกในเทศกาลเพลง Radio 1’s Big Weekend 2017 ที่อังกฤษ เราก็เห็นพัฒนาการการร้องสดของเธอที่น่าหลงใหล โดยไม่จำเป็นต้องใช้ฉาก พลุ หรืออะไรมาเติมแต่ง
ถ้าเคทีถอดเปลือกออกให้หมด สร้างความชัดเจน และโฟกัสในการทำเพลงที่เป็นตัวเองมากกว่าเพลงที่คิดว่าคนอื่นต้องการ เคทีก็อาจได้รับการยกย่องที่เหนือไปกว่าแค่ “ชุดนี้ปังมาก” และได้คำชมว่า “เพลงมันมาว่ะ” แทน
และเราเชื่อว่าเธอทำได้
- Witness อัลบั้มชุดที่ 4 ของเคที เพอร์รี จะวางแผงวันที่ 9 มิถุนายนนี้ ส่วนเวิลด์ทัวร์ Witness: The Tour จะเริ่มเดือนกันยายน แผนในการโปรโมตในครั้งนี้คือใครที่ซื้อตั๋วคอนเสิร์ตในอเมริกาก็จะได้รับอัลบั้มไปด้วยหนึ่งแผ่น ซึ่งเป็นคอนเซปต์ที่มาดอนน่าเคยใช้กับอัลบั้ม MDNA และ The MDNA Tour ในปี 2012 และช่วยให้อัลบั้ม MDNA เปิดตัวด้วยยอดขายที่อเมริกา 359,000 แผ่น โดยยอดขายมากกว่า 185,000 แผ่น มาจากการแถมมากับตั๋วคอนเสิร์ต เราเลยไม่แปลกใจถ้ายอดขายอัลบั้ม Witness ของเคทีจะสูงขึ้นเพราะกลยุทธ์นี้