จามาล คาช็อกกี นักข่าวชาวซาอุดีอาระเบีย ได้เดินทางไปสถานกงสุลซาอุดีอาระเบีย ณ นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อรับเอกสารสำคัญการหย่าไปประกอบการยืนจดทะเบียนสมรสครั้งใหม่ แต่ไม่มีใครพบเขาอีกเลย
แหล่งข่าวตุรกีอ้างว่านักวิจารณ์รายนี้ถูกฆาตกรรมภายในสถานกงสุล แต่ทางฝ่ายซาอุดีอาระเบียแย้งข้อกล่าวหานี้ พร้อมยืนยันว่าเขาได้ออกจากอาคารไปแล้วก่อนจะหายตัวไป
ในวันนี้ (19 ต.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจตุรกีขยายพื้นที่ค้นหาหลักฐานคดีดังกล่าว เนื่องจากสันนิษฐานว่าศพของผู้ตายอาจถูกทิ้งไว้ในป่า
แถลงความคืบหน้าการค้นหาหลักฐานมีขึ้นหลังจากที่วานนี้ (18 ต.ค.) กองนิติวิทยาศาสตร์ตุรกีได้รับอนุญาตให้เข้าค้นพื้นที่สถานพำนักกงสุลและอาคารกงสุลดังกล่าว หลังการค้นหานานกว่า 9 ชั่วโมง มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ได้เก็บหลักฐานและตัวอย่างบางส่วนกลับไปตรวจสอบเพิ่มเติม
ในช่วงเวลาของการค้นหาหลักฐานนั้น กงสุลโมฮัมหมัด อัล โอไทบิ และครอบครัว ได้เดินทางออกจากตุรกีไปแล้วตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา (16 ต.ค.)
ด้าน CNN Türk รายงานว่าการค้นหาครั้งนี้มีขึ้นภายหลังเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานซาอุดีอาระเบีย 11 นายได้เข้าไปในพื้นที่ก่อนที่ฝ่ายตุรกีจะมาถึง และถือเป็นการค้นหาภายหลังจากที่เจ้าชายโมฮัมหมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียได้ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า “เราจะอนุญาตให้พวกเขาเข้าตรวจค้นและทำอะไรก็ตามที่ต้องการ… เราไม่มีอะไรที่จะปกปิด”
ภายในการรายงานข่าวช่วงที่ผ่านมา สื่อหลายสำนักรวมถึง The New York Times รายงานว่าเหตุการณ์บังคับสูญหายคาช็อกกีนี้มีผู้ที่เกี่ยวโยงกับมกุฎราชกุมารแห่งราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย หรือที่รู้จักในนาม ‘MBS’ ด้วยกัน 4 คน
ฝ่ายรัฐบาลตุรกียังอ้างอิงหลักฐานที่ยังไม่ได้เปิดเผยสู่สาธารณะว่ามีเจ้าหน้าที่ 15 นายในปฏิบัติการพิเศษที่ส่งตรงจากซาอุดีอาระเบีย ขณะเดียวกัน เดวิด เฮอร์ส บรรณาธิการ Middle East Eye แสดงความคิดเห็นถึงหน่วยนี้ว่าไม่ได้มีเพื่อการลักพาตัวหรือสอบสวน
สำนักข่าว Al Jazeera รายงานไปในทางเดียวกันว่ากลุ่มปฏิบัติการ 15 นายได้เดินทางเข้านครอิสตันบูลในวันเดียวกันกับที่นักข่าวรายดังกล่าวหายตัวไป พร้อมทั้งยังจองที่พักใกล้สถานกงสุลเป็นเวลา 4 วัน แต่พบการรายงานว่าเดินทางออกจากพื้นที่เพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมงให้หลัง
ก่อนหายตัวไป คาช็อกกี วัย 59 ปี อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาหลังเนรเทศตัวเองออกจากซาอุดิอาระเบีย หลายครั้งเขาได้เขียนโจมตีการดำเนินนโยบายของ MBS รวมถึงเรียกร้องเสรีภาพของสื่อในประเทศด้วย
เหตุการณ์นี้ทำให้นานาประเทศและสหประชาชาติ ออกมาเรียกร้องความโปร่งใสในการสอบสวน โดย อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ เผยความรู้สึกหวั่นเกรงว่าการบังคับสูญหายอาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ และย้ำให้รัฐบาลประเทศต่างๆ โต้ตอบอย่างเหมาะสมหากคำตอบของคดีออกมาชัดเจนแล้ว
วานนี้ (18 ต.ค.) ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณีดังกล่าวว่าดูเหมือนว่าคาช็อกกีเสียชีวิตแน่ชัดแล้ว ก่อนเสริมว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่ง
ท่าทีดังกล่าวแตกต่างออกไปจากช่วงที่ผ่านมาที่ทั้งทรัมป์และไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ แสดงจุดยืนว่าเชื่อในคำพูดของมกุฎราชกุมารด้วยการออกมาย้ำว่า MBS ปฏิเสธการมีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ครั้งนี้ เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรีตุรกี เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ที่ออกมายืนยันลักษณะเดียวกัน
มกุฎราชกุมารแห่งราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียเคยออกมากล่าวว่าปฏิบัติการสอบสวนดำเนินไปอย่างจริงจังและเชื่อถือได้
ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา หลัง MBS ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมาร พระองค์ได้เดินหน้าสร้างภาพลักษณ์ในฐานะผู้นำหัวก้าวหน้าและนักปฏิรูป ซึ่งการตกเป็นเป้าสายตาของคดีนี้ย่อมส่งผลต่อมุมมองดังกล่าว
Yeni Şafak สื่อตุรกี ระบุว่ามีหลักฐานสำคัญเป็นบันทึกเสียงที่อ้างว่ากงสุลซาอุดีอาระเบียบอกให้หน่วยปฏิบัติการ “ออกไปทำข้างนอก พวกนายกำลังทำให้ฉันซวยไปด้วย” โดยมีรายงานอีกว่าคาช็อกกีถูกฆ่าโดยตัดศีรษะและแยกส่วนร่างกายเป็นชิ้นๆ
แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยหลักฐานจากฝั่งตุรกี แต่หน่วยข่าวกรองประเทศต่างๆ ก็ออกมายืนยันรายงานดังกล่าวแล้วเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีรายงานที่อ้างแหล่งข่าวระดับสูงในตุรกีว่ารัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ฟังบันทึกเสียงดังกล่าวแล้ว
ในแถลงการณ์เดียวกันเมื่อวานนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เผยต่อไปว่าหากพิสูจน์แล้วว่าซาอุดีอาระเบียอยู่เบื้องหลังการสังหารนักข่าวรายนี้ย่อมมีผลลัพธ์ที่ร้ายแรงตามมา กลับลำท่าทีที่เขาเคยแสดงจุดยืนไม่ยกเลิกสัญญาค้าอาวุธมูลค่า 110,000 ล้านเหรียญสหรัฐกับประเทศซาอุดีอาระเบีย
ก่อนหน้านี้สมาชิกวุฒิสภาเดโมแครต 11 คนได้ยื่นจดหมายถึงประธานาธิบดีและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับทรัมป์ให้เปิดเผยถึงความสัมพันธ์ทางการเงินระหว่างทรัมป์และฝั่งซาอุดีอาระเบีย ซ้ำยังมี ส.ว. พรรครีพับลิกัน ลินด์ซีย์ แกรแฮม ที่ออกมาเรียกร้องให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้มาตรการคว่ำบาตรซาอุดีอาระเบียอย่างรุนแรงด้วย
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ได้ออกมาแสดงท่าทีว่าตนจะไม่ยกเลิกสัญญาค้าอาวุธมูลค่า 110,000 ล้านเหรียญสหรัฐกับประเทศซาอุดีอาระเบีย
บทความสุดท้ายของนักวิจารณ์
นักข่าวชาวซาอุดีอาระเบียที่หายตัวไปนี้มีประสบการณ์ทำงานอย่างโชกโชน ไม่ว่าจะการสัมภาษณ์ โอซามา บิน ลาเดน หัวหน้ากลุ่มอัลกออิดะห์ การรายงานข่าวสงครามอ่าวเปอร์เซีย หรือการเขียนโจมตีฝ่ายต่างๆ อย่างรัฐบาลซาอุดีอาระเบียและผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวมุสลิมนิกายหนึ่ง
ตัวเขาเองต้องโยกย้ายตำแหน่งหลายครั้ง เนื่องจากความขัดแย้งอันสืบเนื่องจากจุดยืนในการวิจารณ์ของตนเอง จนท้ายที่สุดได้เนรเทศตัวเองไปอยู่ในรัฐเวอร์จิเนียของสหรัฐฯ เมื่อปีก่อน และเริ่มเขียนบทความให้ The Washington Post
หลังจากการหายตัวไปของนักข่าวรายนี้ The Washington Post ได้ตีพิมพ์บทความของคาช็อกกีเมื่อวัน 17 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่าได้รับมาจากผู้ช่วยของเขา 1 วันหลังจากที่เขาเข้าไปในสถานกงสุล
เนื้อหาหลักของบทความกล่าวถึงเสรีภาพสื่อในตะวันออกกลาง ด้วยความคาดหวังให้โลกอาหรับสามารถเข้าถึงสื่อข้ามพรมแดนเพื่อให้พลเรือนสามารถรับทราบถึงความเป็นไปของโลกและขยายฐานการแสดงออกให้ชาวอาหรับเอง
“พวกเราทุกข์ทรมานจากความยากจน การบริหารที่ย่ำแย่ และการศึกษาที่ไม่ได้ความ ด้วยการสร้างพื้นที่การแสดงออกระหว่างประเทศที่เป็นอิสระและแยกออกจากอิทธิพลรัฐบาลชาตินิยมที่เผยแพร่ความเกลียดชังผ่านโฆษณาชวนเชื่อ ประชาชนในโลกอาหรับก็จะสามารถที่จะจัดการปัญหาเชิงโครงสร้างที่สังคมเผชิญอยู่ได้” คาช็อกกีกล่าวทิ้งไว้ในบทความสุดท้าย
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
- www.washingtonpost.com/opinions/global-opinions/jamal-khashoggi-what-the-arab-world-needs-most-is-free-expression/2018/10/17/adfc8c44-d21d-11e8-8c22-fa2ef74bd6d6_story.html?utm_term=.152bb9980a09&noredirect=on
- www.aljazeera.com/news/2018/10/jamal-khashoggi-case-latest-updates-181010133542286.html
- www.aljazeera.com/news/2018/10/khashoggi-case-previous-updates-181017132822079.html
- www.aljazeera.com/video/news/2018/10/saudi-crown-prince-spotlight-khashoggi-disappearance-181018183243150.html
- www.bbc.com/news/world-middle-east-45909732