×

กองกำลังจู่โจมนานาชาติ เพื่อกวาดล้างศูนย์คอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา?

โดย THE STANDARD TEAM
28.12.2025
  • LOADING...
กองกำลังจู่โจมนานาชาติ เพื่อกวาดล้างศูนย์คอลเซ็นเตอร์ใน กัมพูชา

การประชุมนานาชาติว่าด้วยความร่วมมือระดับโลกเพื่อต่อต้านการหลอกลวงออนไลน์ (The International Conference on the Global Partnership against Online Scams) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 17-18 ธันวาคม 2568 ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ (UN Convention Against Cybercrime) หรือ Hanoi Convention (อนุสัญญากรุงฮานอย) เพิ่งจะได้ข้อสรุปไปเมื่อเดือนตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา

 

การประชุมที่กรุงเทพฯ ในครั้งนี้ มีผู้แทนจากกว่า 60 ประเทศเข้าร่วม และนำไปสู่การจัดทำ ‘แถลงการณ์ร่วมกรุงเทพฯ’ (Bangkok Joint Statement) ซึ่งระบุแนวทางปฏิบัติ สำหรับอนาคตหลายประการ เช่น การจัดตั้งพันธมิตรระดับโลก การอายัดทรัพย์สินและการติดตามเส้นทางการเงิน และการบูรณาการความร่วมมือกับภาคเอกชน ฯลฯ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือเกี่ยวกับกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนในการดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังขาดความชัดเจนคือ ‘ใคร’ จะเป็นเจ้าภาพหลักในการขับเคลื่อนวาระนี้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า คำพูดและตัวหนังสือจะถูกเปลี่ยนเป็นการกระทำอย่างเป็นรูปธรรม

 

ประเด็นที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งจากการประชุมคือ แม้จะมีฉันทามติทางการทูตในการปฏิบัติต่อแรงงานที่ถูกบังคับในขบวนการค้ามนุษย์ และการหลอกลวงออนไลน์ว่าควรมีฐานะเป็น ‘เหยื่อ’ มากกว่า ‘อาชญากร’ ซึ่งถือเป็นแนวคิดด้านมนุษยธรรมที่น่าชื่นชม แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ยังคงเป็นฝันร้ายของเหยื่อที่แท้จริงของขบวนการขนาดใหญ่ที่โหดเหี้ยมนี้

 

ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศกัมพูชา ผู้คนนับหมื่นชีวิตกำลังอาศัยอยู่ในสถานที่ซึ่งอธิบายได้เพียงว่าเป็น ‘ค่ายกักกันยุคใหม่’ แหล่งกบดานเหล่านี้คือป้อมปราการที่แน่นหนาซึ่งเหยื่อต้องเผชิญกับการถูกช็อตด้วยไฟฟ้า การถูกขังเดี่ยว และการทรมานอย่างเป็นระบบ ภายใต้การร่วมมือ และการคุ้มครองจากเครือข่ายของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ทุจริต และทหารรับจ้างต่างชาติ ‘ฟาร์มคอลเซ็นเตอร์’ เหล่านี้ดำเนินงานโดยแทบไม่ต้องเกรงกลัวกฎหมาย ในขณะที่สูบเงินหลายหมื่นล้านบาทจากผู้บริสุทธิ์ทั่วโลก

 

ขนาดของวิกฤตซึ่งสร้างขึ้นโดยขบวนการระดับโลก

 

สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ประมาณการว่า ความสูญเสียทางการเงินจากการหลอกลวงที่มุ่งเป้าไปที่เหยื่อในเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพียงสองภูมิภาค มีมูลค่าสูงถึง 585,000 ล้าน ถึง 1.2 ล้านล้านบาท ในปี 2566 และภายในสิ้นปี 2568 คาดการณ์ว่าความเสียหายจากอาชญากรรมไซเบอร์ทั่วโลกจะพุ่งสูงถึง 341 ล้าน ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่า ขบวนการเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่ ‘อาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต’ ทั่วไป แต่มันคือ ‘รายได้หลัก’ ของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่นำเทคโนโลยี AI (Generative AI) และ Deepfakes มาใช้เพื่อขยายขอบเขตการโจมตีให้รุนแรงยิ่งขึ้น และมีแต่จะซับซ้อนและทวีความรุนแรงมากขึ้นในทุกขณะ

 

ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ช่วยให้ทั่วโลกได้เห็นว่า เครือข่ายและขอบเขตของขบวนการเหล่านี้ในกัมพูชา ‘มีขนาดมหาศาล’ รายงานหลายฉบับระบุว่า รายได้จากการหลอกลวงอาจมีมูลค่าเทียบเท่ากับร้อยละ 40 ถึงร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของกัมพูชา ทั้งนี้ รายงานของ Amnesty International ระบุว่า ในกัมพูชามีค่ายกักกันเหล่านี้ มากกว่า 50 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในแนวตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการเหล่านี้มักเป็นของกลุ่มนักธุรกิจชั้นนำที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่า หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ยอมเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด หรือช่วยขัดขวางการทำงานของฝ่ายปราบปรามด้วย ‘การแจ้งเตือนล่วงหน้า’ ก่อนที่จะมีการบุกตรวจค้นหรือจับกุมทุกครั้ง

 

จากคำพูดสู่การกวาดล้างอย่างจริงจัง

 

ดังนั้น จากข้อมูลข้างต้น หากกว่า 60 ประเทศที่เข้าร่วมประชุมที่กรุงเทพฯ มีความจริงจังในการ ‘เปลี่ยนจากการหารือ ไปสู่การปฏิบัติ’ ขั้นตอนต่อไปจะต้องมีความเฉียบคมและไม่ประนีประนอม เช่น:

 

  • การจัดตั้งกองกำลังจู่โจมนานาชาติ (International Strike Force): เมื่อการทูตไม่เพียงพอต่อการทลายกำแพงของศูนย์ปฏิบัติการเหล่านี้ โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZs) ของกัมพูชา ประเทศที่ถูกผลกระทบ เช่น เกาหลีใต้ จีน อินเดีย ไทย และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ควรจัดตั้ง ‘กองกำลังผสมระหว่างทหารและตำรวจ’ เข้าปราบปรามสถานที่ต่างๆ กว่า 50 แห่งนี้อย่างจริงจัง ซึ่งแม้ว่า การจัดตั้งกองกำลังในลักษณะนี้ มีข้อกำหนดและกรอบการทำงานในอนุสัญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติอยู่แล้ว แต่การที่ค่ายกักกันเหล่านี้ ‘มีทหารรับจ้างติดอาวุธ’ เข้ามาเกี่ยวข้อง ‘ย่อมเป็นความชอบธรรม’ ที่ประเทศต่างๆ ที่ถูกผลกระทบจะใช้มาตรการทางยุทธวิธีที่รุนแรงและเด็ดขาด

 

  • บังคับใช้มาตรการโดดเดี่ยวทางเศรษฐกิจ: หน่วยข่าวกรองทางการเงินต้องก้าวข้ามแค่การ ‘ติดตาม’ ไปสู่การ ‘อายัด’ อย่างจริงจัง นิติบุคคลใดก็ตามที่พบว่าให้การสนับสนุนหรือเป็นที่ตั้งของศูนย์เหล่านี้ เช่น Prince Group ซึ่งมีหลักฐานความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับศูนย์คอลเซ็นเตอร์ต่างๆ ควรถูกตัดขาดจากการเข้าถึงระบบการเงินโลกอย่างสิ้นเชิง

 

  • กระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนแบบ ‘ไร้แหล่งกบดาน’: เราต้องการกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่รวดเร็วและเป็นมาตรฐานสำหรับตัวการใหญ่ของขบวนการหลอกลวง เพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าทางระบบราชการที่ทนายความอาชญากรและเจ้าหน้าที่ที่รับสินบนมักนำมาใช้เป็นช่องว่าง

 

บทสรุป

 

การเพียงแค่พูดคุยและจัดทำแถลงการณ์ ‘ไม่ใช่คำตอบ’ ที่ยอมรับได้อีกต่อไป ในขณะที่เหล่านักการทูตและเจ้าหน้าที่รัฐแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันบนเวทีและในแผ่นกระดาษ ผู้คนนับหมื่นกำลังสูญเสียเงินเก็บชั่วชีวิต สูญเสียคุณภาพชีวิต และแม้กระทั่งสูญเสียชีวิต ให้กับขบวนการทุจริตเหล่านี้ แถลงการณ์ร่วมกรุงเทพฯ ปี 2568 จะกลายเป็นเพียงคำพูดที่ว่างเปล่า หากไม่สามารถนำไปสู่การทำลาย ‘ค่ายกักกัน’ เหล่านี้ในทางกายภาพ ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ได้รับผลกระทบจะต้องร่วมมือกันเพื่อลงมือทำ ไม่ใช่ในวันพรุ่งนี้ แต่ต้องเป็น ‘เดี๋ยวนี้’

 

แฟ้มภาพ: Paula Bronstein / Getty Images

 

อ้างอิง:

  • บทความวิชาการฉบับพิเศษ ลำดับที่ 4/2025 สถาบันนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ (ISP) ธันวาคม 2568
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising