ท่ามกลางสายฝนที่โปรยลงมา สนามหญ้าที่เละเทะเป็นโคลน และผู้ชมเต็มความจุสนามราซุนดา สเตเดียม ในประเทศสวีเดน ที่มาเป็นสักขีพยานของนัดชิงฟุตบอลโลก 1958
มีนักฟุตบอลอยู่คนหนึ่งที่โดดเด่นยิ่งกว่าใคร
ไม่ใช่แค่เพราะฝีเท้าการเล่นที่เก่งกาจ แต่เป็นเพราะนักฟุตบอลคนนี้เป็นเด็กวัยรุ่นอายุเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น แต่กลับสามารถเล่นได้เก่งกาจกว่าผู้ใหญ่ทุกคนในทุกนัดที่เขาได้ลงสนาม
นี่คือเรื่องเล่าของตำนานนักเตะคนเดียวในโลกที่พาทีมชาติคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปี
เอ็ดสัน อรานเตส โด นาสซิเมนโต หรือ ‘เปเล่’ ผู้ก้าวสู่การเป็นราชาลูกหนังโลกตลอดกาล ที่จากเราไปในเมื่อ 3 ปีที่แล้ว

ฟุตบอลโลก 1958 ที่ประเทศสวีเดนนั้นถือเป็นครั้งที่ 4 ที่จัดขึ้นในทวีปยุโรป และเป็นฟุตบอลโลกหนแรกที่จัดขึ้นในประเทศแถบนอร์ดิก (Nordic) ด้วย ซึ่งก็เป็นครั้งเดียวจนถึงปัจจุบันนี้
การจัดในทวีปยุโรปคือสิ่งทำให้ชาวบราซิลรู้สึกไม่สบายใจนัก เพราะนับตั้งแต่เริ่มมีการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี 1930 ที่ประเทศอุรุกวัย หากจัดขึ้นที่ทวีปใด ชาติในทวีปนั้นก็จะคว้าแชมป์ไปครองได้ ซึ่ง 5 ครั้งแรกเป็นการจัดที่อเมริกาใต้ 2 ครั้ง (อุรุกวัย 1930, บราซิล 1950) และยุโรปอีก 3 ครั้ง (อิตาลี 1934, ฝรั่งเศส 1938 และสวิตเซอร์แลนด์ 1954)
นั่นหมายความว่าถึง ‘ลา เซเลเซา’ จะเป็นทีมที่ดีแค่ไหน พวกเขาก็อาจจะไม่ได้แชมป์โลกกลับมา
ความจริงบราซิลเพิ่งจะได้สมญาใหม่ไม่นานในชื่อ ‘ลา กานารินญา’ (หรือกานารินโญ) ซึ่งมีความหมายถึงนกขมิ้นอันได้จากสีเหลืองสดใสของเสื้อชุดแข่งที่มีการเปลี่ยนแปลงใหม่จากเดิมที่จะเป็นชุดเสื้อสีขาวคอปกสีน้ำเงิน
เหตุผลของการเปลี่ยนเป็นเพราะเสื้อชุดแข่งแบบเดิมนั้นทำให้พวกเขาเจ็บปวดทุกครั้งที่ได้เห็น เสื้อตัวนั้นจะพาทุกคนย้อนกลับไปในวันมหาโลกาวินาศ นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1950 ที่คนบราซิลตั้งท่ารอจะเฉลิมฉลองใหญ่ทั้งประเทศ แต่ความฝันพังทลายเพราะพ่ายอุรุกวัย 1-0 ที่สนามมาราคนา
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ตั้งใจที่จะคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกให้ได้
ทีมชาติบราซิลในเวลานั้นก็ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดทีมหนึ่ง และเป็นหนึ่งในตัวเต็งของการแข่งขัน ด้วยผู้เล่นระดับสุดยอดอย่าง ดีดี้, วาวา, มาริโอ ซากัลโล
และ ‘เจ้านกน้อย’ การ์รินชา ปีกผู้ลอยไปตามสายลม ไม่มีใครจับได้ ไม่มีใครไล่ทัน
แต่คนที่เป็นอาวุธลับสำหรับ วิเซนเต ฟีโอลา โค้ชของทีมนั้นคือผู้เล่นเด็กที่อายุเพียงแค่ 17 ปี

เปเล่ เป็นสมาชิกใหม่ของทีมชาติบราซิล แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ใช่ใหม่แบบแกะกล่องถึงเพียงนั้น เพราะชื่อของเขาเริ่มเป็นที่พูดถึงอย่างมากในบ้านเกิดตั้งแต่ 1 ปีก่อนหน้านั้น
ในปี 1957 เปเล่ แจ้งเกิดในทีมชุดใหญ่ของซานโตส ด้วยวัย 16 ปี โดยคำว่าแจ้งเกิดสำหรับเขาไม่ได้หมายถึงการได้โอกาสลงประเดิมสนามสักครั้ง หรือได้ยิงสักประตู
ด้วยวัยเท่านั้นและไม่เคยมีประสบการณ์การเล่นฟุตบอลอาชีพมาก่อน เปเล่เขย่าวงการฟุตบอลแซมบ้าด้วยผลงาน 41 ประตูจากการลงสนาม 38 นัด
ก่อนที่จะระเบิดฟอร์มโหดในปีต่อมาด้วยผลงาน 66 ประตูจากจำนวนเกม 46 นัด โดยในจำนวนนี้เป็นการทำแฮตทริกได้ถึง 11 ครั้ง ยิง 4 ประตูในเกมเดียวอีก 6 ครั้ง และยิง 5 ประตูในเกมเดียวได้อีก 1 ครั้งด้วย
ในยุคสมัยนั้นเรายังไม่มีการเก็บสถิติแบบค่า xG แต่ค่าเฉลี่ยประตูต่อนัด (Goal ratio) ของเปเล่ในปี 1958 อยู่ที่ 1.43 ประตู ซึ่งถ้าเทียบกับลิโอเนล เมสซี ในฤดูกาลที่ดีที่สุดของเขาในปี 2011/12 ที่ยิงไป 73 ประตูจากการลงสนาม 60 นัด ค่าเฉลี่ยประตูต่อนัดของราชาลูกหนังยุคปัจจุบันอยู่ที่ 1.22
ผลงานดังกล่าวไม่ได้เพียงทำให้ซานโตสครองความยิ่งใหญ่ในบราซิล แต่บราซิลไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเรียกตัวเขาติดทีมชาติทันที
เกมแรกของเปเล่ในนามทีมชาติ เป็นการพบกับอาร์เจนตินา คู่แข่งร่วมทวีป ซึ่งแน่นอนว่าเขาทำประตูได้ทันที ทำให้กลายเปนนักฟุตบอลที่ติดทีมชาติน้อยที่สุดและทำประตูแรกได้ด้วยอายุที่น้อยที่สุด ซึ่งยังเป็นสถิติตลอดกาลของบราซิลจนถึงทุกวันนี้
แต่ด้วยความเด็ก ก็ทำให้เกิดประเด็นถกเถียงครั้งใหญ่
บราซิลจะพาเด็กคนนี้ไปฟุตบอลโลกด้วยไหม? เขาไม่เด็กเกินไปหรือ?

คำถามนี้เป็นคำถามที่วนเวียนมาตลอดสำหรับทีมชาติบราซิลและฟีโอลา ในฐานะผู้ฝึกสอนของทีม ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะฟุตบอลโลกคือสุดยอดรายการแข่งขัน และความฝันของคนบราซิลไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาล้อเล่นกันได้
ถ้าดีไม่พอ หรือคิดว่าเล่นไม่ได้ อย่าพาเด็กไปเลย
แต่โชคดีสำหรับคนบราซิลที่ฟีโอลามองเห็นชัดเจนมาตลอดตั้งแต่แรกว่า ถ้าฟุตบอลโลกคือความฝันของบราซิล เด็กคนนี้แหละคือคนที่จะทำความฝันของทุกคนให้เป็นความจริง
ถึงแม้จะมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนจนลงเล่นไม่ไหวในช่วงแรก แต่ฟีโอลา ยังรอเวลาที่เปเล่จะฟื้นตัวและกลับมาลงสนามได้อีกครั้งเสมอ ซึ่งหลังจากผ่าน 2 นัดแรกไปโดยที่บราซิลยังทำผลงานได้ไม่น่าประทับใจเท่าไร ก็ถึงเวลาของความมหัศจรรย์แล้ว
เปเล่ในวัย 17 ปี กับอีก 234 วัน ได้โอกาสลงสนามในเกมที่ 3 ของรอบแรกโดยมีสหภาพโซเวียตเป็นคู่แข่ง ในเกมนั้นเขาลงจับคู่กับ วาวา ซึ่งเป็นการทดลองใช้คู่ศูนย์หน้าเป็นชุดที่ 3 แล้วหลังจากที่ทดลองมา 2 คู่ก่อนหน้านี้แล้วยังไม่ได้ผลที่ดีพอ
ปรากฏว่าคู่หู เปเล่-วาวา เข้าขากันได้แทบจะทันที
อธิบายเพิ่มเติมอีกนิดว่า เปเล่ แม้จะเล่นเป็นกองหน้าแต่เขาไม่ได้เป็น ‘ศูนย์หน้า’ ที่เป็นสไตรเกอร์ (Striker) ตัวจบสกอร์อย่างเดียว แต่ทำอะไรได้มากกว่านั้นมากนัก สามารถสร้างสรรค์เกมได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้ตัวทำเกมดีๆ และพาบอลไปไหนก็ได้ไม่ต่างอะไรจากปีกลอยลม
ไม่นับความสามารถทางกายที่เหนือล้ำกว่านักฟุตบอลในยุคสมัยนั้นมาก ราวกับมาจากอนาคตในอีกหลายสิบปีข้างหน้า
ระบบการเล่นของบราซิลในเวลานั้นเองก็มีการเปลี่ยนแปลง โดยฟีโอลา ปรับระบบการเล่นใหม่มาใช้กองหลัง 4 คน ในระบบการเล่นแบบ 4-2-4 ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการระบุแผนการเล่นด้วยการใช้ตัวเลข (ก่อนหน้านี้จะใช้ตัวอักษร เช่น WM หรือใช้เป็นชื่อเรียกเลย เช่น พีระมิด)
เปเล่ ผ่านบอลให้วาวาทำประตูได้ในเกมกับโซเวียต พิสูจน์ความเชื่อของฟีโอลา และลบคำครหาคลางแคลงใจของคนบราซิลได้สำเร็จ ทำให้เขาได้โอกาสในการลงสนามต่อเนื่อง
เกมถัดมาบราซิลพบกับเวลส์ ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย คราวนี้เปเล่ ทำประตูแรกของเขาในฟุตบอลโลกซึ่งเป็นประตูโทนที่ช่วยให้ทีมคว้าชัยชนะได้ด้วยวัย 17 ปีกับอีก 239 วัน เป็นสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในฟุตบอลโลกได้ ซึ่งยืนยาวถึง 65 ปี
แต่เกมที่สร้างชื่อให้เขามากที่สุดคือรอบรองชนะเลิศที่พบกับฝรั่งเศส
‘เลส์ เบลอส์’ ในเวลานั้นเป็นทีมที่แข็งแกร่งและเป็นหนึ่งในเต็งแชมป์ พวกเขามีโคตรศูนย์หน้าพระกาฬอย่าง ชุส ฟงแต็ง ที่ถล่มประตูอย่างเมามันมาตลอดทัวร์นาเมนต์
ถ้าจะมีสักทีมที่ล้มบราซิลได้ ก็ควรจะเป็นฝรั่งเศสทีมนี้
แต่ปรากฏว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเปเล่แล้ว ฝรั่งเศสก็เป็นแค่ขนมขาไก่เท่านั้น เขาผนึกกำลังกับรุ่นพี่อย่างวาวา และดีดี้ ไล่ถล่มขาดลอยถึง 5-2 โดยที่ในเกมนี้ไอ้หนูมหัศจรรย์ทำแฮตทริกได้ เป็นนักฟุตบอลคนที่ 3 ของโลกเท่านั้นที่ยิงได้ 3 ประตูในรอบรองชนะเลิศ ซึ่งยังไม่มีใครทำได้อีกเลยนับจากนั้น
ถึงจุดนี้ เปเล่จุดไฟฝันให้คนบราซิลได้อีกครั้งแล้ว และทำให้ทุกคนที่รอคอยอยู่ในบ้านเกิดต่างเฝ้ารอข่าวดี
และเขาก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังจริงๆ
ในเกมที่ราซุนดา แม้จะต้องพบกับเจ้าภาพผู้แสนดีที่ช่วยดูแลทีมบราซิลด้วยไมตรีมาตลอดช่วงระยะเวลาการเก็บตัวก่อนลงทำศึกฟุตบอลโลก และแม้สภาพสนามจะดูเป็นใจให้กับสวีเดน ที่ถนัดบอลโด่งมากกว่าบราซิลที่ชอบเล่นบอลบนพื้น
แต่เวลานั้นไม่มีใครหยุดกานารินโญได้แล้ว
ไม่สิ ไม่มีใครหยุดเปเล่ได้แล้วมากกว่า
บราซิลไล่ถล่มสวีเดนขาดลอยด้วยสกอร์เดียวกับฝรั่งเศส 5-2 เปเล่ทำ 2 ประตูในเกมนั้น (หนึ่งในนั้นคือการทำประตูสุดเหนือชั้นด้วยการพักอกในกรอบเขตโทษ กระดกบอลข้ามหัวกองหลัง ก่อนดีดบอลเข้าไปด้วยเท้าขวา)
ในวัย 17 ปีกับ 249 วัน เปเล่ เป็นแชมป์ฟุตบอลโลกโดยที่สถิติของเขายังไม่มีใครทำลายได้
ฝันร้ายและความมืดมนอนธกาลของชาวบราซิลได้จบลงในวันนั้น ด้วยความมหัศจรรย์ของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงโลกฟุตบอลไปตลอดกาล เพราะหลังจากนั้นฟุตบอลกลายเป็นกีฬามหาชน เปเล่คือซูเปอร์สตาร์ท ที่ทำให้ทุกคนสนใจฟุตบอล
แต่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาในวันนั้น มีเพียงเรื่องเดียว
กับคำสัญญาของเด็กน้อยคนหนึ่งที่บอกกับพ่อไว้ในวันมหาโศก ‘มาราคานาโซ’
“พ่อครับ ผมจะเอาแชมป์โลกมาให้พ่อเอง”


