เมื่อความเนิร์ดและสัญชาตญาณนำทางศิริวรรณ ธรณนิธิกุล กับภารกิจบันทึกอาหารไทยใน A Thai Rhapsody
ต้องบอกว่าเรารู้จักกับพี่แจะ – ศิริวรรณ ธรณนิธิกุล ตั้งแต่สมัยที่ยังมีแค่ It’s happened to be a closet ร้านอาหารและเสื้อผ้าในซอยสุขุมวิท 23 ตอนนั้นก็คิดว่าพี่แจะเป็นคนที่ชัดเจนดีทั้งสไตล์ คาแร็กเตอร์ และเอเนอร์จี สะท้อนให้เห็นผ่านการตกแต่งร้าน รสชาติอาหาร เรื่อยไปจนถึงหน้าตาของอาหารแต่ละจาน ทุกอย่างมันดูเป็นพี่แจะไปหมด ก่อนที่ความชัดเหล่านั้นก็ถูกถ่ายทอดมาสู่ร้านอาหารและคาเฟ่อย่าง A fox princess Kitchen, A pink rabbit + Bob, อี-กา และอื่นๆ อีกมากมาย
วันนี้เรากลับไปเจอพี่แจะอีกครั้ง แน่นอนว่าตัวตนของพี่แจะยังคงไม่จางหาย แม้จะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือภาพของการเป็นนักบันทึกเรื่องราวที่ชัดเจนขึ้น จากเดิมพี่แจะจะมี Scrapbook ไว้จดนู่นนี่ที่เจอ แต่วันนี้บันทึกเหล่านั้นได้กลายมาเป็น สารคดีอาหาร “A Thai Rhapsody” โปรเจกต์ล่าสุดที่เผยแพร่ใน Youtube ช่อง Everyday Podcast (ซึ่งก็เป็นช่องของพี่แจะอีกนั่นแหละ) ที่ทำให้เรากลับมาเจอกันอีกครั้ง
ถ้าคนที่รู้จักพี่แจะจะรู้ว่านอกจากการเป็นดีไซเนอร์แล้ว พี่แจะยังเป็นนักชิมและนักเดินทางที่ช่างเลือก (ไม่แน่ใจว่าสองสิ่งนี้ อันไหนเริ่มก่อน) เราเลยเห็นเมนูไทยต่างถิ่นมากมายในร้านอาหารของพี่แจะ
ดังนั้น การที่เราได้ยินพี่แจะเล่าว่า “พี่จะทำสารคดีอาหารในเมืองไทย” บอกตามตรงว่าไม่ได้เซอร์ไพรส์เท่าไรนัก เพราะพี่แจะมีศักยภาพ (และลูกบ้ามากพอ) ที่จะทำสารคดีดีๆ สักเรื่อง ส่วนเนื้อหานั้นจะแน่นขนาดไหน ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เราจะได้เห็นงานสไตล์ลิ่งแบบ It’s happened to be a closet อยู่ในนั้นแน่นอน

แจะ – ศิริวรรณ ธรณนิธิกุล
A Thai Rhapsody เป็นสารคดีบันทึกภาคสนาม พาตามรอยรสชาติไทยผ่านผู้คน ภูมิประเทศ และความทรงจำที่ถูกส่งต่อจากครัวบ้านที่สืบทอดรสมือกันมา ในซีซันแรก พี่แจะจะพาเราไป ‘เกาะสมุย’ ถ่ายทอดแง่มุมต่างๆ ที่ไม่ได้จำกัดแค่อาหาร แต่ยังรวมไปถึงวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น ประเพณีและวัฒนธรรม รวมไปถึงเรื่องเล่าจากย่ายายประจำบ้านที่ถูกถ่ายทอดโดย นักเลงอาหาร ผู้มาพร้อมเรื่องราวมากมายที่อยากจะถ่ายทอดให้ทุกคนฟัง
“พี่อยู่ในวงการอาหารมา 25 ปี พี่น่าจะมีสิทธิ์ที่จะทำเรื่องราวการกินในประเทศไทย จุดมุ่งหมายคือเราอยากบันทึก อยากรักษาบางเรื่องให้คนที่เด็กกว่าเรา ค้นหาแล้วหยุดอ่าน มันเป็น mission ที่อยากทำ” พี่แจะกล่าว
ทำไมพี่แจะถึงอยากทำสารคดีอาหาร?
เราอยู่ในวงการอาหาร เราอาจเจอวิธีการทำ marketing หรือการที่เราจะต้อง communication เรื่องต่างๆ เพื่อให้แบรนด์เราไปได้ หรือความเป็นแฟชั่นที่วิ่งปู้ดป๊าด อันนี้ใช่ อันนี้ไม่ใช่ แต่เวลาที่พี่จะบันทึกเรื่องใดเรื่องหนึ่ง พี่ถือว่าตัวเองเนิร์ด เห็นพี่ดื้อๆ เวลาถ้าอยากรู้อะไร พี่จะจริงจัง
ดังนั้นพี่ว่าการทำสารคดีมันเป็นหนึ่งวิธีที่เจือจางความสุรุ่ยสุร่าย ฟุ่มเฟือย ของที่มันเกินๆ ตัดออก เอาแต่เนื้อๆ มันเป็นรูปแบบที่น่าสนใจสำหรับการให้ความรู้ พี่บอกทีมว่าไม่ได้อยากให้มันแก่ ไม่ได้อยากทำสารคดีแบบที่เด็กเปิดมาแล้วเปลี่ยน หนี หรือสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง
เพราะความตั้งใจของพี่คืออยากให้เด็กรู้เรื่อง แล้วพี่รู้สึกว่าเวลาพี่เรียนหนังสือ พี่ไม่เห็นรู้สึกเลยว่าพี่จะแพ้เพื่อนต่างชาติ รู้สึกว่าฉันเป็นคนไทยแล้วไง ไม่สูงแต่ก็โอเค ดังนั้นพี่รู้สึกว่าเราอาจจะแพ้ดอลลาร์กับชาวต่างชาติ เราอาจจะแพ้ความทันสมัยบางเรื่อง แต่พี่คิดว่าถ้าพูดถึงเรื่อง palette พูดถึงเรื่อง gastronomy เรายอมรับเลยว่าประเทศไทยไม่แพ้ชาติไหน
คอนเซปต์ของสารคดี A Thai Rhapsody เป็นอย่างไรคะ?
A Thai Rhapsody ถ้าแปลตรงตัวมันแปลว่า มหากาพย์ของไทย แต่มันมหากาพย์ก็จริงแต่โคตรซิมเปิล พี่เลือกใช้ชื่อนี้เพราะพี่รู้สึกว่า มันเป็นการเดินทางอีกยาวไกล พูดแล้วไม่รู้จบ พี่พูดเรื่องอาหารไทยได้ไม่รู้จบ
มันจะเป็นเหมือนรายการพากินไหม กินตามรอยพี่แจะ?
ถ้าคนกดซับช่อง YouTube ของเรา แล้วอยากจะไปกินตามรอยนี่ผิดหวังเลยนะ เพราะว่าส่วนใหญ่คือ unseen เพราะถ้าจะไปกินแบบนี้ คุณต้องมีความสัมพันธ์กับชาวบ้านก่อน ไม่งั้นเขาจะไม่เปิดประตูให้เข้าไปเห็นห้องนอนแน่นอน
ดังนั้นมันเลยไม่ใช่รายการที่ชวนคนดูไปเที่ยวตาม แต่คนดูสามารถเอ็นจอยตอนดูอยู่ที่บ้านได้ เพราะพี่รู้สึกว่าเวลาที่คนดูรายการนี้ เขาจะรู้สึกเหมือนได้เข้าไปด้วย ดังนั้นรายการนี้มันอาจจะไม่ใช่รายการพาเที่ยว แต่มันเป็นรายการพาไปดูของกินในทุกแง่มุม ทั้งวัตถุดิบ ผู้คน วัฒนธรรม และการทำอาหาร มีครบ

ฟังแล้วขั้นตอนการทำงานไม่น่าง่ายเลยเพราะต้องเจอทั้งย่านที่ใช่ และตัวละครที่ชอบด้วย พี่แจะเริ่มอย่างไร?
เราเริ่มจากเลือกโลเคชันก่อน ด้วยความรู้สึกตอนนั้นที่เราชอบ อย่างถ้าเป็นสมุย เป็นเพราะสิบกว่าปีที่แล้วเจอป้าเล็ก แล้วเคยขอถ่ายสูตรอาหาร แล้วชีไม่ให้ แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการคุยต่อ ปรากฏว่าเมื่อตอนทำ Everyday Podcast เราเคยทำรายการหนึ่งตามรอย The White Lotus แล้วเราก็ไปกินข้าวร้านเขาอีก แล้วเขาก็สะกิดบอกว่า “ถ้าครั้งนี้จะเรียน จะสอนให้แล้ว เพราะรู้สึกว่าตั้งใจทำงาน” เราก็เลยบอกว่า โอเค ไปหาป้าเล็กแล้วบันทึกเลย ตัดสินใจเลย
แล้วการทำงานมันก็ค่อนข้างซับซ้อนเพราะมันต้องเตรียมตัวล่วงหน้า แล้วทีมงานมันเยอะ คือถ้าไม่รักจริง น่าจะทำไม่ได้ ดีเทลเยอะ ผู้กำกับฯ บอกว่า ถ้าเขาทำรายการอื่นมันจะต้องมีคนเขียนบท มีคนค้นคว้าวิจัยให้ เราบอก ห้ามทำ เพราะมันเป็นงานของเรา คือถ้าเราไม่ค้นคว้า วิจัย สำรวจเองเราก็โง่ หมายถึงเราจะโง่ขึ้น เพราะเราจะมีคนป้อนทุกอย่างให้ เราก็เลยบอกรอหน่อย ขอพี่นั่งอ่านเอง ทำเองเหมือนทุกครั้งที่ไป คือค้นคว้าเองว่าสมุยมีอะไร เราอยากดูอะไร เราอยากไปดูเคย อยากไปดูดงมะพร้าว เราอยากไปอยู่กับชาวประมงสักวันหนึ่งได้ไหม เราเป็นคนเลือก
แล้วพี่กำหนดซีนเองด้วย แต่ทำการบ้านก่อน เช่น เราเจอว่ามันมีตลาด 6 ที่ เราต้องไปเดินดูเลย ต้องไปเลือกจากเซนส์ หรือเราต้องเจอแบบคนในพื้นที่เพื่อถามเขาว่า ตลาดนี้เป็นอย่างไร พอเราไปดูครบ 6 ที่ แล้วเราจะรู้เลยว่าโอเค เราเลือกตลาดนี้ พี่ว่ามันเป็นเสน่ห์ คือมันดูแล้วแบบอันนี้ใช่ เหมือนแบบผีเห็นผี พี่ชอบใช้คำนี้

พี่แจะลงไปครั้งเดียวแล้วได้เลย หรือว่าหลายรอบกว่าจะลงตัว?
หลายรอบแต่พี่ไปสมุยบ่อยอยู่แล้ว เราอาจจะไม่เคยไปซีนนี้ หรือถ้าไปดูแล้วไม่ใช่ พี่ฆ่าทิ้ง เอาใหม่ เริ่มใหม่เลย ถ้าเลือกได้แล้วก็เริ่มเดินคุย เริ่มเดินกิน
มีสตอรี่บอร์ดในการถ่ายทำไหม ?
สำหรับพี่ถ้ามีสตอรี่บอร์ดมันจะกลายเป็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้ว จะไม่มีการ improvise แต่ไม่ใช่ว่าเราขี้เกียจ เราเลยทำงานแบบไม่มีสตอรี่บอร์ด เราไม่ได้ขี้เกียจ แต่ว่าในทุกครั้งที่ไป เหมือนคุณต้องสบตา สบตาเสร็จ คุณจะต้องเลือกว่าเขาใช่หรือไม่ใช่ หลายครั้งเรากินเข้าไปแล้วรู้สึกอึ๊บก็ไม่ต้องทำ ซึ่งมันจะอึ๊บแบบนี้บ่อย มันเลยต้องใช้เวลา เพราะว่าเวลาทำสารคดี เราต้องตื่นเช้ามาก พวกโปรดักชันก็จะ crazy พระอาทิตย์ขึ้น ต้องตื่นตี 5 หลังจากนั้นก็ถ่ายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งประมงปิดตอน 5–6 ทุ่ม พี่เลยคิดว่าถ้าไม่รักหรือถ้าไม่ไปดู ไม่ไปหาช้างเผือก มันเลยต้องมีสตอรี่บอร์ด แต่ของพี่มันมีไม่ได้ พี่จะต้องไป blend เองหน้างาน
ใช้เกณฑ์อะไรในการเลือกเมนูอาหารในสารคดี?
พี่ว่าความอร่อยมันเป็น Subjective คือเราไม่ควรจะพูดว่าไม่อร่อย อร่อยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นสิ่งที่เราเลือกที่ร้าน ไม่ว่าจะเสื้อผ้าหรืออาหาร เราเลือกจากสัญชาตญาณของเรา ด้วยอาชีพเรา Audience อนุญาตให้เราเลือก ยอมให้เราเป็น Buyer แล้วเขาจะเป็นคนเดินมากินตามเรา หรือใส่เสื้อผ้าตามเราเอง

วายคั่วสะตอ noir มาพร้อมข้าวพุงมะพร้าว
แล้วอย่างนี้มีเกณฑ์ในการเลือกสถานที่สำหรับถ่ายทำอย่างไร?
เลือกแบบน้ำลายไหลแล้วค่อยเลือก บางอันฟังชื่อก็น้ำลายไหลแล้ว บางอันเห็นเรือก็น้ำลายไหล บางอันเห็นสโคปของส้มตำก็รู้เลยว่าจะเจอน้ำลายไหลได้ที่ไหน
ปกาเกอะญอ เราสเกาต์แล้ว อันต่อไปเราจะไปเส้นทางส้มตำ ซึ่งกินพื้นที่ประมาณห้าจังหวัด อันนี้คัดแล้ว เพราะตอนไปจริง เราไปแปดจังหวัด แต่คัดเหลือห้า ซึ่งเป็นห้าที่ความสัมพันธ์มันนัวเนียกัน จนเกิดมาเป็น ‘ส้มตำสตอรี่’
ในซีซั่นแรกมีตัวละครไหนที่พี่มองว่าน่าสนใจบ้างคะ?
มีป้าเล็กกับพี่เบียร์ (ลูกป้าเล็ก) เป็นต้นเรื่อง ตอนแรกพี่ไม่ได้คิดถึงลูกป้าเล็กเลย เพราะพี่ชอบมีในหัวว่าพอเป็นเจนหนึ่ง โอ้โห! ตำนาน พอมาเจนสอง ความศักดิ์สิทธิ์มันน้อยลง แต่กับป้าเล็ก ตอนแรกเขาบอกว่า “โอเค เดี๋ยวจะไปหากระแจะที่ร้าน กระแจะอยากให้ทำอะไร จะไปทำที่ร้าน” เราบอกไม่เอา อยากไปหาป้าเล็กที่บ้าน ซึ่งมันเป็น Unseen เขาไม่เคยให้ใครเข้าไปที่บ้านมาก่อน แต่เขายอมเรา เราก็ไปถ่ายทำกับพี่เบียร์ ตอนนั้นแล้วเรารู้เลยว่าพี่เบียร์ต้องรันร้านอาหารต่อได้อย่างประสบความสำเร็จแน่นอน แต่กับบางคน การเป็นเจนสองมันไม่ทำให้เราเชื่อ

ป้าเล็ก
พี่เบียร์เป็นคนที่เวลาพี่เขียน scrapbook พี่จะให้หัวใจเขาตลอด เพราะพี่รู้สึกว่ารักพี่เบียร์มาก ในอนาคตพี่เลือกไว้แล้วว่าจะให้เขาเป็นเซ็นเตอร์ ที่จะช่วยพี่พาสปอนเซอร์ไปชุมชน เพราะพี่เบียร์เป็นคนเชื่อถือได้ในเชิงความซื่อสัตย์ และพี่รู้สึกว่าเวลาเขาทำร้านป้าเล็ก เขาเคารพสูตรแม่ของเขา
ส่วนคนที่สอง เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นกุญแจ ชื่อมิสเตอร์แดง เขาเป็นกุญแจที่พาเราเปิดเข้าไปในชุมชน เขาเป็นน้องแดง แม้ว่าเขาจะแก่แล้ว แต่เขาเป็นน้องแดงของป้าๆ ทุกคนในชุมชน
คนที่สาม มาริญ่า พี่ไม่อินกับโรตี ตอนแรกไม่อินเลย พี่นั่งอยู่ในบ้านป้าเล็กจนผู้ใหญ่โรจน์ (สามีป้าเล็ก) บอกว่าทำไมไม่กินโรตี เราก็ถามว่าทำไมหนูต้องกินโรตี เขาบอกว่าโรตีเจ้านี้อร่อยที่สุดในสมุย พี่ไปกิน แล้วมันเป็นโรตีนม พี่ก็เฉยๆ ปรากฏว่าตอนไปถ่าย เราก็ถ่ายไปก่อน อารมณ์แบบถ้าเลือกมากก็อาจจะไม่ได้ถ่ายอะไรเลย ถ่ายไปก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยมาคัดออก ปรากฏว่าตอนไปถ่ายเวลาเขาทำโรตี เขาบอกว่าสูตรนี้เป็นสูตรของพ่อ แล้วเขาบอกว่าสูตรนี้จะตายไปกับฉัน เพราะฉันไม่มีลูก

มาริญ่า
พี่เลยหันไปมองเขา ตอนที่เขานั่งปั้นอยู่ พี่รู้สึกถึง craftsmanship พี่รู้สึกว่ามันไม่ใช่โรตีที่เราเห็นสะบัดๆ ธรรมดา มันมีอาร์ตอยู่ในทุกการเคลื่อนไหว พี่ก็เลยถามว่าแล้วมันเป็นอย่างไร เขาบอกว่าพ่อเขาเคยทำร้านน้ำชา ในบ้านหลังนี้ที่ยืนอยู่ตรงนี้ พ่อเคยทำชานม แล้วพ่อจะเอาโรตีกินกับแกงแพะ
พี่จินตนาการใหญ่เลยเพราะพี่เป็นคนสร้างย่าน พี่ก็จินตนาการว่า ถ้าชาวบ้านทุกคนได้มากินชาร้อน แล้วได้กินแกงแพะต่อ มันน่าจะดี แต่เขาไม่สามารถทำได้คนเดียว เขาทำได้เต็มที่คือโรตีใส่นม แต่ถ้ามีคนช่วยคิด แล้วย้อนยุคให้เขากลับไปละ พี่ยังคิดว่าถ้าได้สปอนเซอร์จะให้คนไปเรียนทำโรตี พี่คิดว่าการเรียนมันเป็นเชื้อโรค มันต้องดีดให้กระเด็นไปถึงปัตตานี กระเด็นถึงกรุงเทพฯ แล้วสูตรนี้มันถึงจะอยู่จริงๆ

อีกคนหนึ่งคือป้าคนที่ทำเคยชื่อลูกปลา พี่ชอบตรงที่เขาเป็นชาวบ้าน แต่เขามีหลักการ ของสมัยนี้มันสามารถสกปรกได้มากกว่านี้ แต่เขามีหลักคิด มีการดีไซน์บ้าน พวกนี้ยังไปไม่ถึงอุตสาหกรรมแบบเครื่องจักร แต่มันสะอาดแบบชาวบ้าน คนนี้พี่อยาก recognize เขาในแง่ความจริงจังในการทำของที่ควรจะสกปรก แต่ทำจนรู้สึกว่ามีคุณภาพ
ขออีกสักคน ป้าออ ซึ่งเป็นการเจอกันผิวเผิน เจอกันด้วยหนึ่งมื้ออาหาร แกมีเพิงขายขนมจีนบุฟเฟต์ 50 บาท กินไม่อั้น แกก็นั่งอยู่บนแคร่ซึ่งพี่ตื่นเต้นในแง่แคสติ้งมาก ทั้งหน้า ผม เสื้อผ้า เหมือนเกิดมาเพื่อให้เราถ่ายรูป ขนมจีนก็อร่อย เป็นขนมจีนแบบไม่ผ่านเลเยอร์ ขนมจีนซื่อๆ ไม่ต้องปรุงแต่งเยอะ มีทั้งขนมจีนแกงใต้ ไตปลา น้ำพริก พอมันอยู่บนเวทีริมถนนแล้วซีนมันได้
นอกจากตัวละครที่เล่าให้ฟังแล้ว มีซีนไหนในสมุยที่ถูกหยิบมาพูดถึงอีกบ้าง?
มีเรื่องวัฒนธรรมการกิน พวกคุณกินกันยังไง กินกับใคร กินอะไร อย่างสมุยก็มีซีนการกินแบบหนึ่ง แต่พอไปปกาเกอะญอ เราจะเห็นการกินแบบแฟมิลี่ กินแบบพอเพียง พี่สังเกตว่าหลายบ้านมีอาหารไม่ถึงสิบอย่าง เขาไม่มีตลาด คุณปลูกข้าวตรงนี้ เด็ดผักตรงนี้ เลี้ยงหมูเอง คุณกินอยู่ในรั้วบ้านคุณ ดังนั้นคุณจะไม่เคยขาดอาหาร แต่คุณจะไม่กินเกิน
คุณหุงข้าวหรือทำกับข้าวหนึ่งครั้ง เลี้ยงทั้งครอบครัวเจ็ดคน ทุกคนกินพอดี เพราะเขาทำไว้แค่นี้ คุณต้องกินพอดี ไม่มีกับข้าวหลายอย่าง ดังนั้นวัฒนธรรมการกินคือ คุณกินยังไง กินกับใคร กินที่ไหน สำหรับพี่ มันเป็นสิ่งที่ obsessed แล้วบางทีพี่ก็อยากไปดูวิถีอาชีพของคนในโลเคชันที่พี่เลือก มันเลยไม่ได้มีแต่การกินอย่างเดียว

อีกอย่างพี่ชอบไปถ่ายบ้านคน พี่รู้สึกว่าครัวย่าครัวยายน่าสนใจ อย่างป้าเล็กอยู่ที่ร้านมีเตาสิบเตา แต่ที่บ้าน ป้าเล็กมีเตาไซส์เล็กประมาณสองพันบาท เตาเดียวใช้ครีเอททุกอย่าง มีซิงค์น้ำ มีแท่น มีเครื่องปรุงรส แค่นี้เลย พี่ว่ามันเป็นแพทเทิร์นของครัวย่าครัวยายที่ทำง่าย อร่อย และสวย พี่ตามถ่ายทุกบ้าน
จากที่พี่เป็นคนทำอาหาร มีดีไซน์ คิดภาพเป็นแฟชั่นตลอด แต่พี่กลับเข้ามาหาความเรียบง่าย ความมินิมัล

อยากรู้ว่ารายการบาลานซ์อย่างไรระหว่างอาหาร วัฒนธรรม และเรื่องเล่า ?
คำถามนี้ ถ้าตอบผิดมันจะยากมาก มันต้องตอบว่ามันมาด้วยกัน มันเหมือนช็อกโกแลตมากับถั่ว เคี้ยวด้วยกันจะอร่อยมาก ไม่ต้องเลือกว่าใครนำดีกว่า อยากให้มันเป็นธรรมชาติ ถ้าเรารู้สึกว่าไปตรงนี้แล้วอันนี้น่าสนใจก็ทำ เพราะเพื่อนเรารอฟังอยู่ ไม่ต้องเตรียม ไม่ต้องวางแผนเยอะเกินไป เพราะเดี๋ยวมันจะไม่สนุก
นอกจากความสนุก อยากให้คนดูได้อะไรกลับไปบ้าง
ถ้าเป็นคนไทย พี่อยากให้รู้สึกภูมิใจว่าเป็นคนไทย และไม่มีอะไรแพ้ใคร อยากให้รู้รากเหง้าของตัวเองว่าเมื่อมีรากเหง้าขนาดนี้แล้วยังจะแพ้ใครอีก มันเป็นจุดเด่นของเรา พี่อยากเป็นคนที่เก็บรายละเอียดและบันทึกไว้ให้ลูกของเขา

ตั้งใจจะให้รายการมีกี่ซีซั่นและจะทำไปเรื่อยๆ เลยไหม?
ตอนนี้เรานัดกันถึงซีซันที่สามแล้ว
(ผู้กำกับช่วย: “ด้วยความที่เราไม่ได้แบ่งซีซันเหมือนรายการอื่น รายการอื่นอาจมองซีซันว่าเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปเลย แต่เรามองเป็นซีน เช่น ไปสมุยแทนที่จะเล่าสมุยมิติเดียวหรือเส้นเรื่องเดียว มันมีหลายเส้นเรื่องให้เล่าได้ แล้วเราก็แบ่งเป็นตัวยาว ตัวสั้นเพราะเดี๋ยวนี้คอนเซ็ปต์คอนเทนต์เปลี่ยนไป บางทีคนอาจเปิดวิดีโอตัวสั้นก่อน แล้วค่อยต่อตัวยาว บางทีก็เปิดตัวยาวเลย” )

ฟังดูแล้วเหมือนคาดหวังให้สิ่งนี้ไปได้ไกลกว่าใน Youtube ?
เราไปที่ไหนก็ผูกพันกับคน พี่เลยรู้สึกว่าเราแก่ขนาดนี้แล้ว มีอะไรที่เราช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คนทุกเลเยอร์ได้ไหม เพราะเราเหมือนอยู่ปลายวัยของการทำงาน เราอยากช่วยคน องค์กรต่างๆ เขามีม็อตโต้เรื่องการคืนสู่ชุมชน พอถึงจุดหนึ่ง เขาก็มอบหมายให้เราเป็นคนเอาเงินและกำไรของเขาไปทำประโยชน์ให้คนได้ไหม โดยที่ไม่พลาด ไม่เอาเปรียบคนที่ให้เงิน
พี่เลยคิดว่า CSR มันต่อยอดได้ เหมือนพี่เป็น match maker ชาวบ้านคนนี้ คู่กับบริษัทนี้ แล้วเขาอยากช่วย แต่ก็สอนด้วยว่าอย่าเปลี่ยนนิสัย เรานิสัยดีอยู่แล้ว อย่าไปทำให้คนที่มาช่วยรู้สึกอึดอัด พี่เลยคิดว่าตอนนี้ตัวเองเป็นเหมือนคิวปิด ให้คนได้พบกันแล้วเกิดประโยชน์ แล้วพี่ก็อยากไปสร้างย่านด้วย
สนใจเรื่องการสร้างย่าน พี่แจะมองเรื่องนี้ไว้อย่างไรคะ?
อย่างคนที่อยู่ตลาดหัวถนน เขายังไม่รู้ตัวว่าเขาสวยมาก เขาไม่รู้และไม่แคร์ แต่พี่รู้สึกว่านักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวจะมีใครเหมือนพี่ไหม เราไม่ได้อยากไปอาบแดด ไม่ได้อยากไปวิลล่า ฉันอยากไปตลาด ตลาดที่ถูกต้องอยู่ที่ไหน เพราะไปอิสตันบูลเราก็หาตลาด ไปอินเดียเราก็หาตลาด
เดี๋ยวเราจะพยายามทำให้คนบางกลุ่ม ทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ที่กำลังหาซีนตลาดแต่เข้าไม่ถึงสามารถเข้าไปได้ เหมือนทรงวาดสมัยก่อน ถ้าจัดให้เดินถึงกันหมด มันก็จะเกิดระบบขึ้นมา แต่เราจะไม่จัดจนวิถีชีวิตเสีย เรายังรู้สึกว่าเขาอยู่ในบ้านของเขาดีแล้ว

ทีมงาน
อย่างที่จัดนิทรรศการ See: Savor: Snap: ตรงถนนทรงวาด ก็ถือเป็นการต่อยอดจากรายการเพราะนำอาหารมาให้ลองชิมจริงๆ ได้มาพูดคุยเหล่าตัวละครในรายการ มีแผนจะทำแบบนี้ทุกปีไหม?
พี่บอกทุกคนว่าพี่เป็นคนซาดิสต์ เขาไม่เชื่อ แต่เขารู้ว่าต้องทำ เราควรเอาสิ่งที่เราคิดมาอยู่ในหนึ่งห้องเพื่อให้คนมาเดินดู มันเป็นการเพิ่มโอกาสให้คนกรุงเทพฯ และคนต่างชาติได้รู้จักว่ามีสิ่งนี้อยู่

นิทรรศการ See: Savor: Snap
ถ้าเรามีของดี เราไม่ขี้อวด เราอธิบายว่ามันดีได้อย่างไร และถ้าไม่มีนิทรรศการนี้ คนจะรู้ได้ยังไงว่าพี่จริงจังมันเป็นการ make statement และทำให้คนรู้จักตัวละครจริงๆ เช่น ป้าโรตี มารีญา สร้างความผูกพัน เหมือนได้ไปคุยกับเขา

ครั้งหน้าเวลาคนไปจังหวัดอื่นแล้วเจอคนทำโรตีอาจจะนึกถึงมารีญา เริ่มมองบ้านคนว่าเขากำลังทำอะไรกันอยู่ เริ่มเก็บรายละเอียด พี่ว่ามันจำให้เรามีความสุขกับการเดินทางมากขึ้นในมุมอื่นๆ ที่เราเอาไปแชร์กับเพื่อนได้
คลิกอ่านบทความเกี่ยวข้องได้ที่
- https://thestandard.co/life/road-of-cinnamon/
- https://thestandard.co/a-fox-princess-kitchen/
- https://thestandard.co/its-happened-to-be-a-closet/
- https://thestandard.co/taste-its-happened-to-be-a-closet/
ภาพ: ผลาณุสนธิ์ ผดุงทศ
- สามารถคลิกชมสารคดีอาหารได้ที่ https://www.youtube.com/@thisiseverydaypodcast)


