สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถ้อยแถลง ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 22 (22MSP) ภายใต้ระเบียบวาระการพิจารณาคำขอตามข้อ 8 ของอนุสัญญาฯ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส เมื่อวานนี้ (5 ธันวาคม) พร้อมแสดงหลักฐานยืนยันว่า กัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ โดยเสนอให้สหประชาชาติ (UN) ตั้งคณะตรวจสอบ และเน้นย้ำว่า ‘ต้องไม่มีเหยื่อคนต่อไป’
รัฐมนตรีต่างประเทศระบุว่า 1. เมื่ออนุสัญญาฉบับนี้ได้รับการรับรองในปี 2540 รัฐภาคีต่างได้ให้คำมั่นที่จะ “ยุติความทุกข์ทรมานและการบาดเจ็บที่เกิดจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” — คำมั่นสัญญาที่ตั้งอยู่บนความเห็นพ้องร่วมกันว่า ไม่มีประเทศอารยะใดสามารถอ้างความชอบธรรมในการใช้อาวุธที่โจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายเช่นนี้ได้
2. ประเทศไทยยึดมั่นในหลักการเหล่านี้อย่างแน่วแน่ และด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้เราจึงต้องหยิบยก
ประเด็นการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่น่ากังวลอย่างยิ่งนี้ต่อที่ประชุมครั้งนี้
3. ประเทศไทยไม่มีความประสงค์ที่จะสร้างความตึงเครียด หรือทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง แต่ทหารของเราได้รับความสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่า และข้าพเจ้ามีหน้าที่ที่จะกล่าวในนามของประชาชนไทยผู้ที่ต้องเผชิญกับการกระทำครั้งแล้วครั้งเล่าที่ไม่ควรเกิดขึ้นภายใต้อนุสัญญานี้
4. ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทหารไทยจำนวนเจ็ดนายได้สูญเสียขาจากเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ชุมชนท้องถิ่นต้องอยู่ในสภาวะหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น
5. เราได้พบหลักฐานเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องที่ยืนยันว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้ถูกวางใหม่โดยกัมพูชา
6. ผลการประเมินที่เป็นอิสระ ซึ่งรวมถึงจากคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน ยืนยันว่า ทุ่นระเบิดดังกล่าวถูกวางใหม่ เรามีหลักฐานวิดีทัศน์ที่ปรากฏอย่างชัดแจ้งว่า กองกำลังกัมพูชากำลังฝึกการใช้ทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ซึ่งเป็นชนิดที่กัมพูชามีไว้ครอบครอง
7. การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดข้อ 1 ของอนุสัญญาฯ อย่างชัดแจ้ง และเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อหลักการด้านมนุษยธรรม ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของอนุสัญญาฉบับนี้
8. ด้วยเหตุนี้ จึงนับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้ใช้กลไกตามข้อ 8 วรรค 2 เพื่อขอรับคำชี้แจงจากกัมพูชา เพราะประสงค์จะได้รับการคุ้มครองจากบูรณภาพของอนุสัญญาฯ
9. ประเทศไทยได้ใช้กลไกทวิภาคีในทุกช่องทางด้วยความสุจริตใจ เพื่อยุติกรณีดังกล่าวอย่างสร้างสรรค์
10. แต่การตอบสนองของกัมพูชากลับขัดกับหลักฐานที่ได้รับการตรวจสอบ อีกทั้งยังมีการเผยแพร่ข้อมูลอันบิดเบือนอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
11. รูปแบบการดำเนินการเช่นนี้ยังคงเกิดขึ้น แม้ว่าไทยและกัมพูชาได้ลงนามในถ้อยแถลงผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยกับนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา (Joint Declaration) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ แต่เพียงสองสัปดาห์ต่อมา เหตุการณ์ทุ่นระเบิดครั้งใหม่ได้ ‘เกิดขึ้นอีกครั้ง’ ซึ่งเป็นการทำลายทั้งเจตนารมณ์และเนื้อหาของถ้อยแถลงดังกล่าว
12. เรื่องนี้กระทบต่อบูรณภาพของอนุสัญญาฯ โดยตรง
13. หากรัฐภาคีสามารถวางทุ่นระเบิดใหม่ และปฏิเสธได้โดยไม่ต้องรับผลการกระทำใดๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีผู้ได้รับบาดเจ็บรายใหม่?
14. ความท้าทายลักษณะนี้ต้องการการตัดสินใจที่หนักแน่น เพราะการนิ่งเฉยจะบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์
ของอนุสัญญาฯ
15. โดยที่กัมพูชายังคงปฏิเสธข้อเท็จจริง หลักฐาน และความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยจึงเชื่อว่า หนทางที่สร้างสรรค์ที่สุดคือ การขอให้เลขาธิการสหประชาชาติอำนวยความสะดวก (Good Offices) ในการจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-Finding Mission) ที่มีความอิสระ อย่างทันท่วงที
16. การขอความชัดเจนครั้งนี้ ประเทศไทยไม่ได้กระทำเพื่อแสวงหาความได้เปรียบฝ่ายเดียว หรือดำเนินการเพื่อให้เกิดความสุ่มเสี่ยง เป้าหมายของเราคือ การทำให้ประเด็นนี้ปราศจากการเมือง โดยอาศัยกลไกของอนุสัญญาฯ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลาง
17. เรามั่นใจว่าการดำเนินการเช่นนี้ เป็นแนวทางที่ยุติธรรม มีประสิทธิผล และโปร่งใสที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายและเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า กลไกของอนุสัญญาฯ สามารถทำงานได้เมื่อมีความจำเป็น
18. ประเทศไทยขอแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อท่าน ต่อคณะกรรมการความร่วมมือด้านการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ เลขาธิการสหประชาชาติ และฝ่ายเลขานุการ ที่ได้อำนวยความสะดวกในคำขอรับคำชี้แจงของเรา
19. เราขอเรียกร้องให้กัมพูชากลับมาปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ อย่างเคร่งครัด และขอให้รัฐภาคีเร่งรัดให้กัมพูชาให้ความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ ซื่อสัตย์ และสุจริตใจ
20. จุดยืนของเราชัดเจน: ไม่มีทุ่นระเบิดเพิ่ม ไม่มีผู้ประสบภัยเพิ่ม และไม่ทำให้กฎเกณฑ์ที่คุ้มครองเราทุกคนอ่อนแอลง
ภาพ: Pool Images
อ้างอิง:


