กรมสรรพสามิตเตรียมพิจารณาเก็บภาษีบุหรี่อัตราเดียว ก่อนรัฐบาลประกาศยุบสภาภายในเดือนมกราคม 2569 ตั้งเป้ารายได้ปี 2569 เสริมฐานะการคลังเป็น 5.78 แสนล้าน เผยปรับกฎกระทรวงเอื้อสุราชุมชนสำเร็จแล้ว
พรชัย ฐีระเวช อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า เตรียมพิจารณาเก็บภาษีบุหรี่อัตราเดียว (Single rate) พร้อมวางเป้าหมายเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และผ่านกฤษฎีกาภายในเดือนมกราคม 2569 ล้อไปกับนโยบาย ‘Quick Big Win’ ของรัฐบาล
ที่ผ่านมา ไทยมีการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่เป็นแบบผสม (Compound Rate) คือ เก็บภาษีตามมูลค่า (Ad Valorem Rate) ใน 2 อัตรา ควบคู่กับการเก็บภาษีต่อมวน (Specific Rate) นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2560
ปัจจุบันกรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีตามมูลค่าแบ่งเป็น 2 อัตรา คือ หากราคาขายปลีกแนะนำไม่เกินซองละ 72 บาท เสียภาษีตามมูลค่าในอัตรา 25% ส่วนบุหรี่ที่มีราคาขายปลีกแนะนำเกินซองละ 72 บาท เสียภาษีที่อัตรา 42%
จากโครงสร้างภาษีดังกล่าว ทำให้ราคาตลาดถูกตรึงไว้ที่ช่วง 72 บาทต่อซอง และทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาอย่างไม่สมดุล หากมีการปรับภาษีบุหรี่จะทำให้ผู้ผลิตมีอิสระตั้งราคามากขึ้น และไม่ต้องแข่งกันลดสินค้าไปอยู่ระดับต่ำ รวมถึงป้องกันการลักลอบนำเข้าบุหรี่หนีภาษี พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะสามารถนำเสนอเข้าที่ประชุมรัฐสภาได้ทันก่อนมีการยุบสภาหรือไม่ พรชัยระบุว่า เนื่องจากเป็นการออกกฎกระทรวง จึงไม่จำเป็นต้องผ่านสภา เพียงแค่ต้องเสนอเข้าครม. และผ่านการตรวจโดยกฤษฎีกาให้เสร็จทันก่อนยุบสภา ก็จะสามารถประกาศใช้ได้เลย แต่จะประกาศให้มีผลทันที หรือเว้นช่วงหรือไม่นั้น กำลังอยู่ในส่วนของการพิจารณา
ทางกรมสรรพสามิตระบุว่าการเก็บภาษีในอัตราเดียวจะช่วยสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน (Level Playing Field) ให้กับผู้ประกอบการยาสูบ
ปรับกฎกระทรวง เอื้อสุราชุมชน
นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตยังได้มีการปรับกฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2568 เปิดทางให้ผู้ประกอบการรายย่อยมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมสุราได้มากขึ้น ซึ่งกฎกระทรวงดังกล่าวได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2568
โดยมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
- ปรับเกณฑ์มาตรฐานอุตสาหกรรม ตามขนาดกิจการ ตั้งแต่ เล็ก กลาง ใหญ่
- เพิ่มประเภทใบอนุญาตให้ผู้ผลิตเบียร์และสุรากลั่นรายย่อย
- ลดข้อจำกัดสถานที่ตั้งให้เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก แต่ยังคงต้องปฏิบัติตามหลักสุขอนามัย การบำบัดน้ำเสีย และข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม
- เปิดให้ใช้ผลผลิตการเกษตร เช่น ข้าว ข้าวโพด ผลไม้ รวมถึง ผลผลิตแปรรูป เป็นวัตถุดิบผลิตสุรา
- เปิดช่องนำเอทานอลจากอ้อย และมันสำปะหลังไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่น เช่น สุรา อุตสาหกรรมชีวภาพ และเศรษฐกิจหมุนเวียน (BCG Economy) จากเดิมที่เน้นใช้เป็นเชื้อเพลิง
การปรับกฎกระทรวงดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิต จากการดึงผู้ผลิตสุราใต้ดินให้เข้ามาในระบบ โดยแบ่งเกณฑ์กิจการตามกำลังแรงม้า ดังนี้
- กิจการขนาดเล็ก มีกำลังการผลิตไม่ถึง 5 แรงม้า
- กิจการขนาดกลางมีกำลังการผลิตระหว่าง 5-50 แรงม้า
- กิจการขนาดใหญ่มีกำลังการผลิตตั้งแต่ 50 แรงม้าขึ้นไป
และมีการแบ่งประเภทการผลิตเพื่อการพาณิชย์ และไม่ใช่เพื่อการพาณิชย์ ดังนี้
- ประเภทเพื่อการพาณิชย์ ต้องมีการผลิตเกิน 200 ลิตรต่อปี
- ประเภทที่ไม่ใช่เพื่อการพาณิชย์ ต้องผลิตไม่เกิน 200 ลิตรต่อปี
กฎเกณฑ์ใหม่เปิดทางให้ผู้ผลิตเบียร์รายเล็ก สามารถผลิตเบียร์บรรจุถังบาร์เรล (Keg) ได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถบรรจุกระป๋องได้ ส่วนผู้ผลิตเบียร์รายกลางสามารถบรรจุกระป๋องพาสเจอร์ไรซ์ได้ จากเดิมที่ไม่อนุญาตให้ทำได้
ตั้งเป้ารายได้ปี 69-70 เสริมฐานะการคลัง
ทั้งนี้ เพื่อสอดรับกับเป้าหมายลดการขาดดุลการคลัง ไม่ให้เกิน 3% ภายในปี 2572 ตามกรอบแผนการคลังระยะปานกลางปี 2570-2573 (Medium-Term Fiscal Framework) กรมสรรพสามิตตั้งเป้าหมายเพิ่มการจัดเก็บรายได้ในปี 2569 เป็น 578,200 ล้านบาท และในปี 2570 เป็น 611,220 ล้านบาท
ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ด้วยการพัฒนาระบบตรวจสอบข้อมูลสุรานำเข้า ปรับหลักเกณฑ์จัดเก็บภาษีกิจการบริการ และยกระดับการปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายเชิงรุกด้วยเทคโนโลยี จากความร่วมมือหลายหน่วยงาน
นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงโครงสร้างภาษีให้ตอบโจทย์ทางเศรษฐกิจ สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม เช่น การปรับภาษีน้ำมัน ขยายฐานภาษีรองรับมาตรการราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ขยายฐานภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย (Luxury Tax) ปรับภาษีแบตเตอรี่ให้เชื่อมโยงรอบการชาร์จ (Life Cycle) และน้ำหนักต่อการให้พลังงาน (Energy Density) ปรับภาษีสุรา ยาสูบ ภาษีความเค็ม (Sodium Tax)


