×

ผู้เชี่ยวชาญเตือน คนไทยเตรียมจ่ายเบี้ยประกันแพงขึ้น ถ้ารัฐบาลไม่พัฒนาระบบเตือนภัยพิบัติ จำกัดความเสียหายน้ำท่วม แผ่นดินไหว

28.11.2025
  • LOADING...
ผู้เชี่ยวชาญเตือน คนไทย เตรียมจ่ายเบี้ยประกันแพงขึ้น ถ้ารัฐบาลไม่พัฒนาระบบเตือนภัยพิบัติ จำกัดความเสียหายน้ำท่วม แผ่นดินไหว

จากวิกฤติ ‘น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้’ เนื่องจากฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวัน จนปริมาณน้ำล้นตลิ่งไหลทะลักท่วมบ้านเรือนประชาชน ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาที่ได้รับผลกระทบหนักสุดในรอบ 25 ปี นับตั้งแต่ปี 2543 สร้างความเสียหายกว่า 560,000 ครัวเรือน มีการคาดการณ์ว่า มูลค่าความเสียหายทั้งภูมิภาค อาจสูงถึง 25,000 ล้านบาท

 

น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ครั้งนี้ สะท้อนผลกระทบจาก Climate change หรือการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้ว จากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ตั้งแต่แผ่นดินไหว ช่วงต้นปี 2568 จนถึงวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ ภัยพิบัตินี้ไม่ได้เกิดเฉพาะแค่ที่ไทย แต่กำลังเป็นเทรนด์เดียวกันทั่วโลก และทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในระดับที่ในอนาคต เราหลายคนอาจหมดตัว เพราะความเสียหายต่อทรัพย์สินที่ประเมินมูลค่าไม่ได้

 

THE STANDARD WEALTH สัมภาษณ์ พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอคชัวเรียล บิสซิเนส โซลูชั่น จำกัด (ABS) และ อดีตนายกสมาคมนักคณิต ศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย ชวนอ่านมุมมองแนวโน้มธุรกิจประกันภัย ปรับตัวอย่างไรในวันที่ความเสี่ยงภัยพิบัติรุนแรงขึ้น ผลกระทบต่อผู้บริโภค และแนวทางแก้ไขร่วมกัน

 

พิเชฐ กล่าวว่า ภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดบ่อยครั้งขึ้น เป็นผลมาจาก Climate change ดังนั้นธุรกิจประกันภัยจะไม่สามารถยึดหลักสถิติในอดีตทั้งหมด เพื่อจำลองความเสี่ยงในอนาคตได้ เนื่องจากตัวแปรเรื่องโลกร้อนขยับขึ้น เป็นตัวเร่งให้ภัยพิบัติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม แผ่นดินไหว ไฟไหม้ ทวีความรุนแรงขึ้น แนวโน้มในระยะข้างหน้า ธุรกิจประกันภัยจะต้องมีการปรับตัวใน 3 ด้าน ดังนี้

 

1.ธุรกิจประกันภัยต้องเปลี่ยนแนวคิดทำธุรกิจ

 

ไม่ควรคิดว่า สถิติในอดีต สามารถจำลองเหตุการณ์หรือความเสียหายในอนาคตได้เสมอไป มิฉะนั้นอาจจะเจ๊งได้ เพราะตัวแปรในการคิดต้นทุนไม่คงที่ เช่น อุณหภูมิโลกร้อนเฉลี่ยขึ้น 1 องศาทุกปี

 

2. เบี้ยประกันแพงขึ้น

 

ถ้าสภาพแวดล้อมโลกเสี่ยงขึ้น เบี้ยประกันภัยไม่ว่าจะเป็น น้ำท่วม แผ่นดินไหว จำเป็นต้องปรับสูงขึ้น ตามความเสี่ยง

 

3. การเตือนภัยล่วงหน้าช่วยจำกัดความเสียหาย

 

จำกัดความถี่และความเสียหายที่จะเกิดขึ้น สามารถบรรเทาได้ จากการบริหารจัดการของมนุษย์ ต้องมีระบบเตือนภัยที่ดี ปรับปรุงกระบวนการสื่อสารให้ทันท่วงที ต้องพัฒนาสองสิ่งนี้ ควบคู่กัน หากสามารถทำให้มีประสิทธิภาพระดับสากลได้ จะช่วยบรรเทาความเสียหาย จากหนักเป็นเบา อัตราการเคลมน้อยลง ส่งผลให้เบี้ยประกันไม่ปรับตัวสูงขึ้น จนเกินไป

 

“หลักการของบริษัทประกัน มีการเคลมมากหรือน้อย เขาต้องการส่วนต่าง ถ้าต้นทุน การเคลมน้อยลงก็ปรับเบี้ยถูกลงได้ เพื่อให้ราคาสามารถแข่งขันได้ เช่น มีการเคลม 80 บาท ก็คิดเบี้ยประกัน 100 บาท”

 

ธุรกิจประกัน ก็เหมือนธุรกิจอื่นๆ ที่ต้องบริหารให้มีกำไรมากกว่าต้นทุน ดังนั้นทุกภาคส่วนต้องช่วยกันบริหารความเสียหายจากอัตรา 80% ลดลงมาอยู่ที่ 50% ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

 

คนแห่ทำประกันภัย รับมือน้ำท่วม เสียหายหนักกว่าแผ่นดินไหว

 

ในมุมมองของนักคณิตศาสตร์ประกันภัย มองว่า ความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วม รุนแรงกว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหว เนื่องจาก เหตุการณ์น้ำท่วมกินระยะเวลานาน สร้างความเสียเป็นวงกว้างต่อทรัพย์สินหลายประเภท เช่น รถยนต์ บ้าน กระทบต่อเนื่องไปถึงธุรกิจในภาคการท่องเที่ยว ในขณะที่แผ่นดินไหว ความเสียหายมักเกิดขึ้น กับตึกสูง ทั้งนี้ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ แผ่นดินไหว ช่วงต้นปี คนตระหนักถึงความสำคัญทำประกันภัยพิบัติมากขึ้น จึงหันมาทำประกันภัยบ้าน พ่วงกับประกันน้ำท่วมไปด้วย ดังนั้นปัจจุบันน่าจะมีอัตราเคลม ประกันน้ำท่วมเพิ่มขึ้น จากช่วงต้นปี

 

ทั้งนี้พิเชฐ ทิ้งท้ายว่า เพื่อให้ประกันภัยสามารถเข้าถึงทุกคนได้ ในขณะที่บริษัทประกันสามารถทำธุรกิจยั่งยืนในระยะยาว ทุกภาคส่วนจะต้องกลับมาแก้ปัญหาที่ต้นตอ คือ ‘ภาวะโลกร้อน’

 

โดยบริษัทประกันเอง จะต้องมีส่วนร่วมในการสนับสนุน โครงการ ESG ผ่านการลงทุนต่างๆ เช่น พันธบัตร ส่วนในฝั่งของหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง ลงทุนกับบริษัทหรือโครงการ ที่สนับสนุน ESG ส่วนในฝั่งของหน่วยงานกำกับ คือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริม การประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) อาจสนับสนุนให้บริษัทประกันภัย ลงทุนในโครงการที่เกี่ยวเนื่อง กับการพัฒนาและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อลดอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน หรือ Capital Adequacy Ratio ที่บริษัทประกันต้องแบกรับ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising