×

จับสัญญาณหุ้น AI เสี่ยงแค่ไหนเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ พร้อมแนะกลยุทธ์ลงทุนเลือกกลุ่ม Tech

28.11.2025
  • LOADING...
จับสัญญาณหุ้น AI เสี่ยงแค่ไหนเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ พร้อมแนะกลยุทธ์ลงทุนเลือกกลุ่ม Tech

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ยังคงถูกตั้งคำถามว่าเข้าสู่ภาวะฟองสบู่แล้วหรือไม่ พร้อมเตือนนักลงทุนให้จับตาสัญญาณความเสี่ยงเรื่องการประเมินมูลค่าสูงเกินจริงในบริษัทขนาดเล็ก และการพึ่งพาหนี้สินที่เพิ่มขึ้น ไปติดตามการวิเคราะห์จาก SCB CIO

 

เกษรี อายุตตะกะ, CFP SVP, Head of Investment Research, SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealthi ระบุว่า

 

SCB CIO มีมุมมองว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ยังไม่ได้เข้าสู่ภาวะฟองสบู่ในระดับที่น่ากังวล โดยมีปัจจัยหลัก 3 ประการที่สนับสนุนมุมมองนี้

 

1. กำไรที่แข็งแกร่งรองรับราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบัน การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นกลุ่มเทคและการเติบโตของกำไรยังคงสอดคล้องกัน โดยราคาหุ้นกลุ่มเทคในปัจจุบันพุ่งขึ้นประมาณ 114% ขณะที่กำไรโตได้ถึง 105%

 

ความสัมพันธ์นี้แตกต่างอย่างชัดเจนจากช่วงฟองสบู่ดอทคอม (dot-com) ในอดีต ซึ่งราคาหุ้นพุ่งขึ้นถึง 463% แต่กำไรโตเพียงประมาณ 69% ทำให้ราคาหุ้นวิ่งแซงหน้ากำไรไปมาก

 

นอกจากนี้ ในด้านการประเมินมูลค่า (Valuation) ปัจจุบัน ค่า P/E อยู่ที่ประมาณ 28 เท่า ซึ่งถือว่ายังต่ำกว่าในยุคดอทคอมถึงหนึ่งเท่าตัว และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ของกลุ่มเทคในปัจจุบันอยู่สูงกว่า 30% ซึ่งสูงกว่าช่วงดอทคอมที่ประมาณ 17% แสดงให้เห็นว่าการเติบโตของราคาและ Valuation ปัจจุบันมีกำไรและ ROE ที่แข็งแกร่งมารองรับ

 

2. การลงทุน AI อย่างต่อเนื่องและมีภูมิคุ้มกันที่ดี บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคยังคงทุ่มงบประมาณเพื่อสร้างความได้เปรียบด้าน AI โดยเฉพาะการลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) โดยคาดการณ์ว่ายอดการใช้จ่ายลงทุน (CapEx) ของ AI Hyper Scaler เช่น Amazon, Google, Meta, Microsoft และ Oracle ในปี 2026 มีแนวโน้มจะเติบโตเพิ่มขึ้น 34% จากปี 2025 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 533,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

การลงทุนด้าน AI ส่วนใหญ่ในปัจจุบันใช้ กระแสเงินสด ของบริษัท ซึ่งแตกต่างจากการระดมทุนด้วยหนี้สินที่มากเกินไปในอดีต ทำให้กลุ่มเทครายใหญ่มีภูมิคุ้มกันที่ดีกว่าต่อความผันผวนด้านดอกเบี้ยและสภาพคล่อง

 

3. นโยบายการเงินของเฟดที่ผ่อนคลายอย่างระมัดระวัง SCB CIO คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) น่าจะยังคงผ่อนคลายทางการเงินอย่างระมัดระวัง แม้จะลดดอกเบี้ยมาแล้ว 2 ครั้งในปีนี้ และคาดว่าจะลดเพิ่มอีก 1 ครั้ง (25 basis points) ในเดือนธันวาคม พร้อมทั้งจะหยุดการลดขนาดงบดุล (QT)
อย่างไรก็ตาม SCB CIO มองว่า เฟดจะยังคงระมัดระวังในการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมในปี 2026 ซึ่งแตกต่างจากช่วงปี 2000 ที่สภาพคล่องโดยรวมอยู่ในระดับสูงมาก

 

ความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องจับตา ไม่ใช่ฟองสบู่ แต่ก็มีความเสี่ยง

 

แม้ภาพรวมจะยังไม่น่ากังวล แต่มีประเด็นความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องระมัดระวัง

  • การประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริงของบริษัทบางแห่ง โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก (Niche) ที่มีราคาพุ่งสูงเกินไปและมีการเก็งกำไรที่หนาแน่น ไม่สอดคล้องกับผลกำไรที่แท้จริง
  • ความกังวลในระบบนิเวศ AI มีการทำธุรกรรมหมุนเวียนระหว่างผู้ผลิตชิป ผู้ให้บริการ และบริษัทพอร์ตโฟลิโอ (Conflict of Interest) ซึ่งคล้ายคลึงกับ Vender Financing ในยุคดอทคอม อาจทำให้เกิดการบิดเบือนรายได้ที่แท้จริงได้
  • การพึ่งพาหนี้สินที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้บริษัทใหญ่ส่วนใหญ่จะใช้เงินจากกระแสเงินสด แต่ก็มีสัญญาณของการจัดหาเงินทุนด้วยหนี้สินที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลัง
  • ตัวอย่าง บริษัทเช่น Oracle มีการระดมทุนผ่านตราสารหนี้ ทำให้เกิดความกังวลว่ากระแสเงินสดอิสระอาจไม่เพียงพอต่อการลงทุน Data Center จำนวนมาก
  • การใช้ SPV มีการใช้บริษัทเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle: SPV) เช่น B LLC เพื่อออกหุ้นกู้ Investment Grade สำหรับสร้าง Data Center ให้กับ Meta โดย Meta ทำสัญญาเช่าเพื่อไม่ให้หนี้สินปรากฏในงบดุลของตนเอง

 

SCB CIO ชี้ว่า มีโอกาสสูงที่บริษัทเทคขนาดใหญ่หรือบริษัทที่มีอันดับเครดิตสูงจะพึ่งพาตลาดตราสารหนี้เพื่อระดมทุน AI CapEx ในปี 2026 ซึ่งเป็นสัญญาณที่ต้องจับตาดูไม่ให้เกิดการกู้ยืมมากเกินไป

 

กลยุทธ์การลงทุน เน้นคัดเลือกและกระจายความเสี่ยง

 

ธีมหุ้นกลุ่ม Tech AI ของสหรัฐฯ ยังคงสามารถถือต่อหรือลงทุนต่อได้ เนื่องจากยังอยู่ในเฟส “Build Out” (การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน, Data Center, ชิป) และเฟสเริ่มต้นของการ “Adoption” การนำ Gen AI ไปใช้ในภาคการเงิน, IT, การศึกษา ซึ่งเป็นธีมการลงทุนระยะยาว (Mega-trend/Megafall Force)

 

โดยมีคำแนะนำด้านกลยุทธ์จาก SCB CIO ดังนี้

 

{{LISTSTART}}คัดเลือกอย่างระมัดระวัง เน้นคัดเลือกกลุ่ม Tech สหรัฐฯ ที่มีรายได้และกำไรเติบโตดี ในขณะที่ราคายังสมเหตุสมผล (Goldilocks Network Price) และหลีกเลี่ยงบริษัทที่เริ่มมีสัญญาณของฟองสบู่ แนะนำให้เน้นลงทุนผ่านกองทุนเชิงรุก (Active Funds)
{{LISTITEM}}กระจายการลงทุนไปนอกสหรัฐฯ ความน่าสนใจของหุ้นกลุ่มเทคไม่ได้จำกัดอยู่แค่สหรัฐฯ โดยเฉพาะเมื่อความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มขึ้น ทำให้ประเทศต่าง ๆ พัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง ดังนี้{{LISTITEM}}ญี่ปุ่น เป็นผู้ได้รับประโยชน์ในฝั่งผู้ผลิต (Supply Side Winner) จากการลงทุน AI ทั่วโลก{{LISTITEM}}เกาหลีใต้ อุตสาหกรรมหน่วยความจำอยู่ในวัฏจักรขาขึ้น และตอบโจทย์ความต้องการการประมวลผล AI (DRAM, NAND){{LISTITEM}}จีน กำหนดเป้าหมายการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีในแผนพัฒนาฉบับที่ 15 ทำให้มีการเติบโตในระยะกลางถึงยาวในกลุ่ม Semiconductor, Automation และ AI Hardware{{LISTEND}}

 

  • กระจายสู่กลุ่มที่เกี่ยวข้องและกลุ่มตั้งรับ ดังนี้
  • พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ได้รับประโยชน์จากกระแส AI เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าในการสร้าง Data Center เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
  • Health Care แนะนำให้เพิ่มกลุ่ม Defensive เช่น Health Care ซึ่งได้รับประโยชน์จากความชัดเจนเรื่องกฎหมายยา และมีแนวโน้มต้านทานได้ดีท่ามกลางดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับลดลง
  • ทองคำ อย่าลืมมีทองคำไว้ในพอร์ตลงทุน

 

มุมมองตลาดหุ้นญี่ปุ่น แรงกดดันระยะสั้นจากความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่น

 

นักลงทุนควรทราบถึงสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีนที่แย่ลง (เช่น การเตือนพลเมือง การห้ามนำเข้าอาหารทะเล/ภาพยนตร์) ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันในระยะสั้นต่อหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและกลุ่มที่มีรายได้จากจีนสูง

 

อย่างไรก็ดี หากอ้างอิงเหตุการณ์ข้อพิพาทดินแดนในปี 2012 ราคาหุ้นกลุ่มยานยนต์และค้าปลีกถูกกดดันเพียงระยะสั้นและฟื้นตัวได้ในเวลาไม่นาน

 

มุมมองระยะยาวต่อญี่ปุ่น

 

SCB CIO มองว่าความตึงเครียดนี้จะผลักดันให้ญี่ปุ่นลดการพึ่งพาอุปสงค์ภายนอก และหันมาเน้นวัฏจักรการลงทุนในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคส่วนยุทธศาสตร์ เช่น AI และการป้องกันประเทศ ตามกรอบความมั่นคงทางเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี

 

รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลัง โดยมีการออกงบประมาณกระตุ้นส่วนเพิ่มในปีงบประมาณ 2025 ขนาด 17.7 ล้านล้านเยน ซึ่งสูงกว่าเดิม แม้ว่าการกระตุ้นดังกล่าวจะนำไปสู่การขาดดุลการคลังและการออกพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) มากขึ้น ซึ่งทำให้ Bond Yield ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
SCB CIO เชื่อว่า หนี้สาธารณะต่อ GDP ของญี่ปุ่นจะไม่น่ากังวลมากนัก เนื่องจากคาดว่า GDP จะมีแนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้นจากงบประมาณกระตุ้น ปัจจัยกระทบเรื่อง Bond Yield จึงน่าจะเป็นเพียงระยะสั้น

 

นอกจากมาตรการกระตุ้นแล้ว การปฏิรูปโครงสร้างภาคเอกชน เช่น การปฏิรูปด้านธรรมาภิบาล การเพิ่มปันผล และการซื้อหุ้นคืน จะช่วยหนุนให้ ROE ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

 

ดังนั้น ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังสามารถลงทุนในระยะยาวได้ และยังคงมีอัปไซด์ในการเติบโต

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising